วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ถือศีล ทำบุญ มีศีลธรรม ภาษาอังกฤษพูดว่าอะไร



ถือศีล ทำบุญ มีศีลธรรม ภาษาอังกฤษพูดว่าอะไร

To observe religious precepts.  การถือศีลในศาสนา
The Five Buddhist Precepts. ศีลห้าในศาสนาพุทธ
He lives by the Five Buddhist Precepts.  เขาถือศีลห้า
He lives by … / He keeps … / He obeys the commandments.
เขายึดถือพระบัญญัติ (ในศาสนาคริสต์)
He practices Dharma.  เขาฝึกธรรมมะ
To make merit.  ทำบุญ
I’m making merit.  ฉันกำลังทำบุญ
I’m going to the temple to make merit.  ฉันกำลังไปวัดเพื่อทำบุญ
ถ้าจะอธิบายว่า to make merit หมายความว่าอะไร ก็บอกว่า
You’re doing good things to create positive karma for yourself.
คุณกำลังทำสิ่งดีๆเพื่อสร้างกรรมดีให้ตัวเอง
Karma  กรรม
To free birds. / To free fish. ปล่อยนก / ปล่อยปลา
To offer food to a monk / To offer alms to a monkใส่บาตรให้พระ
Buddhist monks go on an alms round every morning.พระออกบิณฑบาตรทุกเช้า
He is a moral person. เขาเป็นคนมีศีลธรรม
He has morals. / He has high morals. เขาเป็นคนมีศีลธรรม
Where are your morals?  ศีลธรรมคุณหายไปไหน
He is immoral. เขาเป็นคนไม่มีศีลธรรม
He’s an immoral person.  เขาเป็นคนไม่มีศีลธรรม
อย่าจำสับสนกับ mortal  ไม่เป็นอมตะ มีวันตาย / immortal  เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย
morality  หลักศีลธรรม

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

โสฬสปัญหา






โสฬสปัญหา



พราหมณ์พาวรีผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์ปรารถนาซึ่งความเป็นผู้ไม่มีกังวล ได้จากบุรีอันเป็นที่รื่นรมย์แห่งชาวโกศล ไปสู่ทักขิณาปถชนบท พราหมณ์นั้นอยู่ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ใกล้พรมแดนแห่งแคว้นอัสสกะและแคว้นมุฬกะ ด้วยการแสวงหาผลไม้

ชาวบ้านที่อาศัยพราหมณ์พาวรีนั้นก็เป็นผู้ไพบูลย์ พราหมณ์พาวรีได้บูชามหายัญ ด้วยส่วยอันเกิดแต่กสิกรรมเป็นต้นในบ้านนั้น ครั้นบูชามหายัญแล้วได้กลับเข้าไปสู่อาศรม เมื่อพราหมณ์พาวรีนั้นกลับเข้าไปสู่อาศรมแล้ว พราหมณ์อื่นเดินเท้าเสียดสีกัน ฟันเขลอะ ศีรษะเกลือกกลั้วด้วยธุลี ได้มาทำให้พราหมณ์พาวรีสะดุ้ง ก็พราหมณ์นั้นเข้าไปหาพราหมณ์พาวรีแล้วขอทรัพย์ ๕๐๐ พราหมณ์พาวรีเห็นพราหมณ์นั้นแล้ว ได้เชื้อเชิญด้วยอาสนะไต่ถามถึงสุขและทุกข์ แล้วได้กล่าวว่า ไทยธรรมวัตถุอันใดของเรา ไทยธรรมวัตถุทั้งปวงนั้น เราสละเสียสิ้นแล้ว

ดูกรพราหมณ์ท่านจงเชื่อเราเถิด ทรัพย์ ๕๐๐ ของเราไม่มี

พราหมณ์นั้นกล่าวว่า เมื่อเราขออยู่ ถ้าท่านไม่ให้ไซร้ ในวันที่ ๗ ศีรษะของท่านจะแตก ๗ เสี่ยง พราหมณ์ผู้หลอกลวงนั้นกระทำกลอุบายแล้ว ได้กล่าวคำจะให้เกิดความกลัว พราหมณ์พาวรีฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้ว เป็นผู้มีทุกข์ซูบซีด ไม่บริโภคอาหาร เพียบพร้อมด้วยลูกศรคือความโศก อนึ่ง เมื่อพราหมณ์พาวรีคิดอยู่อย่างนี้ ใจก็ไม่ยินดีในฌาน
    
เทวดาผู้ปรารถนาประโยชน์ เห็นพราหมณ์พาวรีมีทุกข์สะดุ้งหวาดหวั่น จึงเข้าไปหาพราหมณ์พาวรีแล้วกล่าวว่า พราหมณ์นั้นไม่รู้จักศีรษะ เป็นผู้หลอกลวง ต้องการทรัพย์ ไม่มีความรู้ในธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป

พราหมณ์พาวรีถามว่า บัดนี้ ท่านรู้จักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไปแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะฟังคำของท่าน

เทวดาตอบว่า แม้เราก็ไม่รู้ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป เราไม่มีความรู้ในธรรมทั้ง ๒ นี้ ปัญญาเป็นเครื่องเห็นธรรมอันเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ย่อมมีแก่พระชินเจ้าทั้งหลาย

พราหมณ์พาวรีถามว่า ก็บัดนี้ ใครเล่าในปฐพีมณฑลนี้ ย่อมรู้ ดูกรเทวดา ขอท่านจงบอกบุคคลผู้รู้ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไปนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด

เทวดาตอบว่า ดูกรพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคผู้ศากยบุตร ลำดับพระวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช มีพระรัศมีรุ่งเรือง เป็นนายกของโลกเสด็จออกผนวชจากพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นผู้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุอภิญญาและทศพลญาณครบถ้วน ทรงมีพระจักษุในสรรพธรรม ทรงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรม ท่านจงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด พระองค์จักพยากรณข้อความนั้นแก่ท่าน
    
พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำว่า สัมพุทโธ เป็นผู้มีใจเฟื่องฟู มีความโศกเบาบาง และได้ปีติอันไพบูลย์ เกิดความโสมนัส จึงถามเทวดานั้นว่า พระโลกนาถประทับอยู่ในคามนิคมหรือในชนบทไหนข้าพเจ้าจะพึงไปนมัสการพระสัมพุทธเจ้าผู้อุดมกว่าสัตว์ได้ในที่ใด

เทวดาตอบว่า พระชินเจ้าผู้ศากยบุตร ทรงมีพระปัญญามาก มีพระปัญญาประเสริฐ กว้างขวาง ทรงปราศจากธุระ หาอาสวะมิได้ องอาจกว่านระ ประทับอยู่ในมณเฑียรของชนชาวโกศล ในพระนครสาวัตถี
    
ลำดับนั้น พราหมณ์พาวรี เรียกพราหมณ์ทั้งหลายผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์ซึ่งเป็นศิษย์มาสั่งว่า ดูกรมาณพทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงฟังคำของเรา ความปรากฏแห่งพระสัมพุทธเจ้าอันอุบัติได้ยากในโลกนี้ วันนี้ พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นปรากฏว่าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ท่านทั้งหลายจงรีบไปเมืองสาวัตถี เข้าเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าผู้อุดมกว่าสัตว์เถิด

พราหมณ์ผู้เป็นศิษย์ทั้งหลายซักถามว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เห็นแล้วจะพึงรู้ว่า ท่านผู้นี้เป็นพระสัมพุทธเจ้าด้วยอุบายอย่างไรเล่า

พราหมณ์พาวรีกล่าวว่า ก็มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มาแล้วในมนต์ทั้งหลาย อันพราหมณาจารย์ทั้งหลายพยากรณ์ไว้บริบูรณ์แล้วตามลำดับว่า มหาปุริสลักษณะทั้งหลายมีอยู่ในวรกายของพระมหาบุรุษใด พระมหาบุรุษนั้น มีคติเป็น ๒ เท่านั้น คติที่ ๓ ไม่มีเลย คือ ถ้าพระมหาบุรุษนั้นอยู่ครองเรือน จะพึงชนะทั่วปฐพีนี้ จะทรงปกครองโดยธรรม ด้วยไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาตรา ถ้าออกบวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยม มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้ว ท่านทั้งหลายจงถามถึงชาติ โคตร ลักษณะมนต์ และศิษย์เหล่าอื่นอีก และถามถึงศีรษะและธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไปด้วยใจเทียว ถ้าว่าท่านนั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นธรรมอันหาเครื่องกางกั้นมิได้ไซร้ จักวิสัชนาปัญหาอันท่านทั้งหลายถามด้วยใจด้วยวาจาได้
    
พราหมณ์มาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน คือ อชิตะ ๑ ติสสเมตเตยยะ ๑ ปุณณกะ ๑ เมตตคู ๑ โธตกะ ๑ อุปสีวะ ๑นันทะ ๑ เหมกะ ๑ โตเทยยะ ๑ กัปปะ ๑ ชตุกัณณีผู้เป็นบัณฑิต ๑ ภัทราวุธะ ๑ อุทยะ ๑ โปสาลพราหมณ์ ๑ โมฆราชผู้มีเมธา ๑ ปิงคิยะผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ๑ พราหมณ์มาณพทั้งปวง คนหนึ่งๆ เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ปรากฏแก่โลก เป็นผู้เพ่งฌาณ มีปัญญาทรงจำ อันวาสนาในก่อนอบรมแล้ว ทรงชฏาหนังเสือเหลือง ได้ฟังคำของพราหมณ์พาวรีแล้ว อภิวาทพราหมณ์พาวรี กระทำประทักษิณแล้ว บ่ายหน้าต่อทิศอุดร มุ่งไปยังที่ตั้งแห่งแว่นแคว้นมุฬกะเมืองมาหิสสติ

ในคราวนั้น เมืองอุชเชนี เมืองโคนัทธะ เมืองเวทิสะ เมืองวนนคร เมืองโกสัมพี เมืองสาเกต เมืองสาวัต เป็นเมืองอุดม เมืองเสตพยะ เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองกุสินารามันทิรสถาน เมืองปาวาโภคนคร เมืองเวสาลี เมืองราชคฤห์ และปาสาณกเจดีย์เป็นรมณียสถานที่น่ารื่นรมย์ใจ พราหมณ์มาณพทั้งหลายพากันยินดี ได้รีบด่วนขึ้นสู่เจติยบรรพต เหมือนบุคคลผู้กระหายน้ำยินดีน้ำเย็น เหมือนพ่อค้ายินดีลาภใหญ่ และเหมือนบุคคลถูกความร้อนแผดเผายินดีร่มเงา ฉะนั้น

ก็ในสมัยนั้นพระผู้มีพระภาค อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอยู่ ประหนึ่งราชสีห์บันลืออยู่ในป่า ฉะนั้น อชิตมาณพได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระรัศมีเรื่อเรืองเหลืองอ่อน ถึงความบริบูรณ์ดังดวงจันทร์ในวันเพ็ญ

ลำดับนั้นอชิตมาณพได้เห็นพระอวัยวะอันบริบูรณ์ในพระกายของพระผู้มีพระภาคนั้น มีความร่าเริงยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้ทูลถามปัญหาด้วยใจว่า ขอพระองค์จงตรัสบอก ชาติ อายุ โคตร พร้อมทั้งลักษณะ และขอได้ตรัสบอกการถึงความสำเร็จในมนต์ทั้งหลายแห่งอาจารย์ของข้าพระองค์เถิด พราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ของข้าพระองค์ย่อมบอกมนต์กะศิษย์มีประมาณเท่าไร พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ก็พราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ของท่านนั้น มีอายุร้อยยี่สิบปีชื่อพาวรีโดยโคตร ลักษณะในกายของพราหมณ์พาวรีนั้นมี ๓ ประการ พราหมณ์พาวรีนั้นเรียนจบไตรเพท ในตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ คือ คัมภีร์อิติหาส พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุศาสตร์ และเกฏุภศาสตร์ ถึงซึ่งความสำเร็จในธรรมแห่งพราหมณ์ของตน ย่อมบอกมนต์กะมาณพ ๕๐๐

อชิตมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่านรชน ขอพระองค์จงค้นคว้าลักษณะทั้งหลายของพราหมณ์พาวรี ขอทรงประกาศตัดความทะเยอทะยาน อย่าให้ข้าพระองค์มีความสงสัยเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมาณพ พราหมณ์พาวรีนั้น ย่อมปกปิดหน้าด้วยชิวหาได้ มีอุณณาโลมชาติในระหว่างคิ้ว มีคุยหฐานอยู่ในฝักท่านจงรู้อย่างนี้เถิด
    
ชนทั้งปวงไม่ได้ยินใครๆ ผู้ถามเลย ได้ฟังปัญหาที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์แล้ว คิดพิศวงอยู่ เกิดความโสมนัสประนมอัญชลีว่า พระผู้มีพระภาคเป็นอะไรหนอ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม หรือเป็นท้าวสุชัมบดีจอมเทพ เมื่อปัญหาอันผู้ถามถามแล้วด้วยใจ ข้อปัญหานั้นไฉนมาแจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคได้

อชิตมาณพทูลถามด้วยใจต่อไปว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ท่านพราหมณ์พาวรีถามถึงธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ขอพระองค์ตรัสพยากรณ์ข้อนั้น กำจัดความสงสัยของพวกข้าพระองค์ผู้เป็นฤาษีเสียเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ท่านจงรู้เถิดว่า อวิชชา ชื่อว่าธรรมเป็นศีรษะ วิชชาประกอบด้วยศรัทธา สติ สมาธิ ฉันทะ และวิริยะ ชื่อว่าเป็นธรรมเครื่องให้ศีรษะตกไป
    
ลำดับนั้น อชิตมาณพมีความโสมนัสเป็นอันมาก เบิกบานใจ กระทำหนังเสือเหลืองเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง หมอบลงแทบพระบาทยุคลด้วยเศียรเกล้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ ผู้มีพระจักษุ  พราหมณ์พาวรีผู้เจริญ มีจิตเบิกบาน ดีใจ พร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลายขอไหว้พระบาทยุคล

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมาณพ พราหมณ์พาวรีพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ถึงความสุขเถิด แม้ถึงท่านก็จงเป็นผู้ถึงความสุข จงเป็นอยู่สิ้นกาลนานเถิด ก็ท่านทั้งหลายมีโอกาสอันเราได้กระทำแล้ว ปรารถนาในใจเพื่อจะถามปัญหาข้อใดข้อหนึ่ง ก็จงถามความสงสัยทุกๆ อย่างของพราหมณ์พาววีหรือของท่านทั้งปวงเถิด

อชิตปัญหา

อชิตมาณพมีโอกาสอันพระสัมพุทธเจ้ากระทำแล้วนั่งลงประนมอัญชลี ทูลถามปัญหาแรกกะพระตถาคต ณ ที่นั้นว่า

โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรหุ้มห่อไว้ โลกย่อมไม่แจ่มแจ้งเพราะอะไร พระองค์ตรัสอะไรว่า เป็นเครื่องฉาบทาโลกไว้ อะไรเป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกรอชิตะ โลกอันอวิชชาหุ้มห่อไว้ โลกไม่แจ่มแจ้งเพราะความตระหนี่ เรากล่าวตัณหาว่าเป็นเครื่องฉาบทาโลกไว้ ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น
    
อ. กระแสทั้งหลายย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสบอกเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย กระแสทั้งหลายอันบัณฑิตย่อมปิดได้ด้วยธรรมอะไร
    
พ. ดูกรอชิตะ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสในโลก เรากล่าวสติว่าเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นอันบัณฑิตย่อมปิดได้ด้วยปัญญา
    
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ปัญญา สติ และนามรูป ธรรมทั้งหมดนี้ย่อมดับไป ณ ที่ไหน พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกปัญหาข้อนี้แก่ข้าพระองค์เถิด
    
พ. ดูกรอชิตะ เราจะบอกปัญหาที่ท่านได้ถามแล้วแก่ท่าน นามและรูปย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือ ณ ที่ใด สติและปัญญานี้ย่อมดับไป ณ ที่นั้นเพราะความดับแห่งวิญญาณ
    
อ. ชนเหล่าใดผู้มีธรรมอันพิจารณาเห็นแล้ว และชนเหล่าใดผู้ยังต้องศึกษาอยู่เป็นอันมากมีอยู่ในโลกนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระองค์ผู้มีปัญญารักษาตน อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกความเป็นไปของชนเหล่านั้นแก่ข้าพระองค์เถิด
    
พ. ภิกษุไม่กำหนัดยินดีในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติ พึงเว้นรอบ
                      
ติสสเมตเตยยปัญหา
    
ติสสเมตเตยยมาณพทูลถามปัญหาว่า

ใครชื่อว่าผู้ยินดีในโลกนี้ ความหวั่นไหวทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ใคร ใครรู้ส่วนทั้งสอง (คืออดีตกับอนาคต) แล้วไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง(ปัจจุบัน) ด้วยปัญญา พระองค์ตรัสสรรเสริญใครว่า เป็นมหาบุรุษ ใครล่วงตัณหาเครื่องร้อยรัดในโลกนี้ได้

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรเมตเตยยะ ภิกษุเห็นโทษในกามทั้งหลาย แล้วประพฤติพรหมจรรย์ มีตัณหาปราศไปแล้ว มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นธรรมแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว ชื่อว่าผู้ยินดีในโลกนี้ ความหวั่นไหวทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นรู้ซึ่งส่วนทั้งสองแล้วไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลางด้วยปัญญา เรากล่าวสรรเสริญภิกษุนั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ภิกษุนั้นล่วงตัณหาเครื่องร้อยรัดในโลกนี้เสียได้
                      
ปุณณกปัญหา
    
ปุณณกมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหา จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ไม่มีความหวั่นไหว ผู้ทรงเห็นรากเหง้ากุศลและอกุศล สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้คือ ฤาษี กษัตริย์ พราหมณ์ เป็นอันมาก อาศัยอะไรจึงบูชายัญแก่เทวดาทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสบอกความข้อนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด

พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดูกรปุณณกะ สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดเป็นมนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นอันมากในโลกนี้ คือ ฤาษี กษัตริย์ พราหมณ์ ปรารถนาความเป็นมนุษย์เป็นต้น อาศัยของมีชรา จึงบูชายัญแก่เทวดาทั้งหลาย
    
ป. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้นิรทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดเป็นมนุษย์เหล่านั้น เป็นคนไม่ประมาทในยัญ ข้ามพ้นชาติและชราได้บ้างแลหรือ
    
พ. ดูกรปุณณกะ สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดเป็นมนุษย์เหล่านั้น ย่อมมุ่งหวัง ย่อมชมเชย ย่อมปรารถนา ย่อมบูชา ย่อมรำพันถึงกาม ก็เพราะอาศัยลาภ เรากล่าวว่า สัตว์เหล่านั้นประกอบการบูชา ยังเป็นคนกำหนัดยินดีในภพ ไม่ข้ามพ้นชาติและชราไปได้
    
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าในเทวโลกและมนุษยโลก ข้ามพ้นชาติและชราไปได้
    
พ. ดูกรปุณณกะ ผู้ใดไม่มีความหวั่นไหวในโลกไหนๆ เพราะได้พิจารณาเห็นธรรมที่ยิ่งและหย่อนในโลกผู้นั้นสงบแล้ว ไม่มีความประพฤติชั่วอันจะทำให้มัวหมองดุจควันไฟ ไม่มีกิเลสอันกระทบจิต
หาความปรารถนามิได้ เรากล่าวว่า ผู้นั้นข้ามพ้นชาติและชราไปได้แล้ว
                      
เมตตคูปัญหา
    
เมตตคูมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์จงตรัสบอกข้อความนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ย่อมสำคัญพระองค์ว่า ทรงถึงเวท มีจิตอันอบรมแล้ว ความทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็นอันมาก มีมาแล้วแต่อะไร

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรเมตตคู ท่านได้ถามเราถึงเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เราจะบอกเหตุนั้นแก่ท่าน ความทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็นอันมาก ย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ ผู้ใดไม่รู้แจ้งย่อมกระทำอุปธิ ผู้นั้นเป็นคนเขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลมารู้ชัด เห็นชาติว่าเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่พึงกระทำอุปธิ
    
ม. นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมข้ามโอฆะ คือ ชาติ ชรา โสกะและปริเทวะได้อย่างไรหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ขอพระองค์จงตรัสพยากรณ์ธรรมอันเป็นเครื่องข้ามโอฆะให้สำเร็จประโยชน์แก่ข้าพระองค์เถิด
    
พ. ดูกรเมตตคู บุคคลทราบชัดแล้ว พึงเป็นผู้มีสติ ดำเนินข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆในโลกเสียได้
    
ม. ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ก็ข้าพระองค์ยินดีอย่างยิ่งซึ่งธรรมอันสูงสุดที่บุคคลทราบชัดแล้ว เป็นผู้มีสติพึงดำเนินข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลกเสียได้
    
พ. ดูกรเมตตคู ท่านรู้ชัดซึ่งส่วนอย่างใดอย่างหนึ่งในส่วนเบื้องบน ในส่วนเบื้องต่ำ และแม้ในส่วนเบื้องขวางสถานกลาง จงบรรเทาความเพลิดเพลินและความยึดมั่นในส่วนเหล่านั้นเสีย วิญญาณจะไม่พึงตั้งอยู่ในภพ ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท ได้รู้แจ้งแล้วเที่ยวไปอยู่ ละความถือมั่นว่าของเราได้แล้ว พึงละทุกข์ คือ ชาติ ชรา โสกะ และปริเทวะในอัตภาพนี้เสีย
    
ม. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้โคตมโคตร ธรรมอันไม่มีอุปธิพระองค์ทรงแสดงชอบแล้ว พระองค์ทรงละทุกข์ได้แน่แล้ว เพราะว่าธรรมนี้พระองค์ทรงรู้แจ้งชัดแล้วด้วยประการนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี พระองค์พึงทรงสั่งสอนชนเหล่าใดไม่หยุดยั้ง แม้ชนเหล่านั้นก็พึงละทุกข์ได้เป็นแน่ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เพราะเหตุนั้นข้าพระองค์จึงได้มาถวายบังคมพระองค์ ด้วยคิดว่า แม้ไฉน พระผู้มีพระภาคพึงทรงสั่งสอนข้าพระองค์ไม่หยุดหย่อนเถิด
    
พ. ท่านพึงรู้ผู้ใดว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ถึงเวท ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ติดข้องอยู่ในกามภพ ผู้นั้นแลข้ามโอฆะนี้ได้แน่แล้ว ผู้นั้นข้ามถึงฝั่งแล้ว เป็นผู้ไม่มีตะปู คือ กิเลส ไม่มีความสงสัย นรชนนั้นรู้แจ้งแล้วแลเป็นผู้ถึงเวทในศาสนานี้ สละธรรมเป็นเครื่องข้องนี้ในภพน้อยและภพใหญ่เสียได้แล้ว เป็นผู้มีตัณหาปราศไปแล้ว ไม่มีกิเลสอันกระทบจิต หาความหวังมิได้ เรากล่าวว่าผู้นั้นข้ามชาติและชราได้แล้ว
                      
โธตกปัญหา
    
โธตกมาณพได้ทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ข้าพระองค์ปรารถนาอย่างยิ่งซึ่งพระวาจาของพระองค์ ข้าพระองค์ได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์แล้ว พึงศึกษาธรรมเป็นเครื่องดับกิเลสของตน

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรโธตกะ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงมีปัญญารักษาตน มีสติกระทำความเพียรในศาสนานี้เถิด ท่านจงฟังเสียงแต่สำนักของเรานี้แล้ว พึงศึกษาธรรมเป็นเครื่องดับกิเลสของตนเถิด
    
ธ. ข้าพระองค์เห็นพระองค์ผู้หากังวลมิได้ ทรงยังพระกายให้เป็นไปอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยะ ขอพระองค์จงทรงปลดเปลื้องข้าพระองค์เสียจากความสงสัยเถิด
    
พ. ดูกรโธตกะ เราจักไม่อาจเพื่อจะปลดเปลื้องใครๆ ผู้ยังมีความสงสัยในโลกให้พ้นไปได้ ก็เมื่อท่านรู้ทั่วถึงสัจธรรมอันประเสริฐอยู่ จะข้ามโอฆะนี้ได้ด้วยอาการอย่างนี้
    
ธ. ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพรหม ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาสั่งสอนธรรมเป็นที่สงัดกิเลสที่ข้าพระองค์ควรจะรู้แจ้ง และขอพระองค์ทรงพระกรุณาสั่งสอนไม่ให้ข้าพระองค์ขัดข้องอยู่เหมือนอากาศเถิด ข้าพระองค์อยู่ในที่นี้นี่แหละ จะพึงเป็นผู้ไม่อาศัยแอบอิงเที่ยวไป
    
พ. ดูกรโธตกะ เราจักแสดงธรรมเครื่องระงับกิเลสแก่ท่าน ในธรรมที่เราได้เห็นแล้วเป็นธรรมประจักษ์แก่ตน ที่บุคคลได้รู้แจ้งแล้วเป็นผู้มีสติ พึงดำเนินข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลกเสียได้

ดูกรโธตกะ ท่านรู้ชัดซึ่งส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งในส่วนเบื้องบนทั้งในส่วนเบื้องต่ำ แม้ในส่วนเบื้องขวางสถานกลาง ท่านรู้แจ้งสิ่งนั้นว่า เป็นเครื่องข้องอยู่ในโลกอย่างนี้แล้ว อย่าได้ทำตัณหาเพื่อภพน้อยและภพใหญ่เลย
                            
อุปสีวปัญหา
    
อุปสีวมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยะ ข้าพระองค์ผู้เดียวไม่อาศัยธรรมหรือบุคคลอะไรแล้ว ไม่สามารถจะข้ามห้วงน้ำใหญ่คือกิเลสได้ ข้าแต่พระองค์ผู้สมันตจักษุ ขอพระองค์จงตรัสบอกที่หน่วงเหนี่ยว อันข้าพระองค์พึงอาศัยข้ามห้วงน้ำคือกิเลสนี้ แก่ข้าพระองค์เถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรอุปสีวะ ท่านจงเป็นผู้มีสติ เพ่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ อาศัยอารมณ์ว่า ไม่มีอะไรแม้น้อยหนึ่ง ดังนี้แล้วข้ามห้วงน้ำคือกิเลสเสียเถิด ท่านจงละกามทั้งหลายเสีย เป็นผู้เว้นจากความสงสัย เห็นธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาให้แจ่มแจ้งทั้งกลางวันกลางคืนเถิด
    
อุ. ผู้ใดปราศจากความกำหนัดยินดีในกามทั้งปวง ละสมาบัติอื่นเสีย อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อมใจลงในสัญญาวิโมกข์ (คืออากิญจัญญายตนสมาบัติ ธรรมเปลื้องสัญญา) เป็นอย่างยิ่ง ผู้นั้นเป็นผู้ไม่หวั่นไหวพึงตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนพรหมโลกนั้นแลหรือ
    
พ. ดูกรอุปสีวะ ผู้ใดปราศจากความกำหนัดยินดีในกามทั้งปวงละสมาบัติอื่นเสีย อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อมใจลงในสัญญาวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง ผู้นั้นเป็นผู้ไม่หวั่นไหวพึงตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนพรหมโลกนั้น
    
อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้มีสมันตจักษุ ถ้าผู้นั้นเป็นผู้ไม่หวั่นไหว พึงตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนพรหมโลกนั้นสิ้นปีแม้มากไซร้ ผู้นั้นพึงพ้นจากทุกข์ต่างๆ ในอากิญจัญญายตนพรหมโลกนั้นแหละ พึงเป็นผู้เยือกเย็น หรือว่าวิญญาณของผู้เช่นนั้น พึงเกิดเพื่อถือปฏิสนธิอีก
    
พ. ดูกรอุปสีวะ มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ไม่ถึงการนับ เปรียบเหมือนเปลวไฟอันถูกลมพัดไปแล้ว ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ถึงการนับ ฉะนั้น
    
อุ. ท่านผู้นั้นถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ท่านผู้นั้นไม่มี หรือว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้ไม่มีโรค ด้วยความเป็นผู้เที่ยง ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ขอพระองค์จงตรัสพยากรณ์ความข้อนั้นให้สำเร็จประโยชน์แก่ข้าพระองค์เถิด
    
พ. ดูกรอุปสีวะ ท่านผู้ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีประมาณ ชนทั้งหลายจะพึงกล่าวท่านผู้นั้นด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้นใด กิเลสมีราคะเป็นต้นนั้นของท่านไม่มี เมื่อธรรม(มีขันธ์เป็นต้น)ทั้งปวง ท่านเพิกถอนขึ้นได้แล้ว แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งหมดก็เป็นอันท่านเพิกถอนขึ้นได้แล้ว
                
นันทปัญหา
    
นันทมาณพผู้ทูลถามปัญหาว่า

ชนทั้งหลายกล่าวว่า มุนีทั้งหลายมีอยู่ในโลก ชนทั้งหลายกล่าวบุคคลว่าเป็นมุนีนี้นั้น ด้วยอาการอย่างไรหนอ ชนทั้งหลายกล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วยญาณ หรือผู้ประกอบด้วยความเป็นอยู่ ว่าเป็นมุนี

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรนันทะ ผู้ฉลาดในโลกนี้ ไม่กล่าวบุคคลว่าเป็นมุนี ด้วยความเห็นด้วยความสดับ หรือด้วยความรู้ ด้วยศีลและวัตร ชนเหล่าใดกำจัดเสนามารให้พินาศแล้ว ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความหวัง เที่ยวไปอยู่ เรากล่าวชนเหล่านั้นว่าเป็นมุนี
    
น. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งกล่าวความบริสุทธิ์ด้วยความเห็นบ้าง ด้วยการฟังบ้าง ด้วยศีลและพรตบ้าง ด้วยมงคลตื่นข่าวเป็นต้นเป็นอันมากบ้าง ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้นิรทุกข์ สมณพราหมณ์เหล่านั้นประพฤติอยู่ในทิฐิของตนนั้น ตามที่ตนเห็นว่าเป็นเครื่องบริสุทธิ์ ข้ามพ้นชาติและชราได้บ้างหรือไม่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์ตรัสบอกความข้อนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด
    
พ. ดูกรนันทะ สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งกล่าวความบริสุทธิ์ด้วยความเห็นบ้าง ด้วยการฟังบ้าง ด้วยศีลและพรตบ้าง ด้วยมงคลตื่นข่าวเป็นต้นเป็นอันมากบ้าง สมณพราหมณ์เหล่านั้นประพฤติอยู่ในทิฐิของตนนั้น ตามที่ตนเห็นว่าเป็นเครื่องบริสุทธิ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ข้ามพ้นชาติและชราไปไม่ได้
    
น. เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าในเทวโลกและมนุษยโลก ข้ามพ้นชาติและชราได้แล้วในบัดนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์จงตรัสบอกความข้อนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด
    
พ. ดูกรนันทะ คนเหล่าใดในโลกนี้ ละเสียซึ่งรูปที่ได้เห็นแล้วก็ดี เสียงที่ได้ฟังแล้วก็ดี อารมณ์ที่ได้ทราบแล้วก็ดี ละเสียแม้ซึ่งศีลและพรตทั้งหมดก็ดี ละเสียซึ่งมงคลตื่นข่าวเป็นต้น เป็นอันมากทั้งหมดก็ดี กำหนดรู้ตัณหาแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ คนเหล่านั้นแลข้ามโอฆะได้แล้ว
    
น. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้โคดม ข้าพระองค์ยินดียิ่งซึ่งพระดำรัสของพระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ธรรมอันไม่มีอุปธิพระองค์ทรงแสดงชอบแล้ว แม้ข้าพระองค์ก็กล่าวว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ ละเสียซึ่งรูปที่ได้เห็นแล้วก็ดี เสียงที่ได้ฟังแล้วก็ดี อารมณ์ที่ได้ทราบแล้วก็ดี ละเสียแม้ซึ่งศีลและพรตทั้งหมดก็ดี ละเสียซึ่งมงคลตื่นข่าวเป็นต้นเป็นอันมากทั้งหมดก็ดี กำหนดรู้ตัณหาแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ คนเหล่านั้นข้ามโอฆะได้แล้ว ฉะนี้แล
                            
เหมกปัญหา
    
เหมกมาณพทูลถามปัญหาว่า

อาจารย์เหล่าใดได้พยากรณ์ลัทธิของตนแก่ข้าพระองค์ ในกาลก่อนว่า เหตุนี้ได้เป็นมาแล้วอย่างนี้ๆ จักเป็นอย่างนี้ๆ คำพยากรณ์ทั้งหมดของอาจารย์เหล่านั้น ไม่ประจักษ์แก่ตน คำพยากรณ์ทั้งหมดนั้นเป็นเครื่องทำความตรึกให้ทวีมากขึ้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องกำจัดตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลกแก่ข้าพระองค์เถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรเหมกะ ชนเหล่าใดได้รู้ทั่วถึงบท คือ นิพพาน อันไม่แปรผัน เป็นที่บรรเทาฉันทราคะใน รูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง และสิ่งที่ได้ทราบอันน่ารัก ณ ที่นี้ เป็นผู้มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้นสงบระงับแล้ว มีสติข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลกได้แล้ว
                      
โตเทยยปัญหา
    
โตเทยยมาณพทูลถามปัญหาว่า

ผู้ใดไม่มีกามทั้งหลาย ไม่มีตัณหา และข้ามความสงสัยได้แล้ว ความพ้นวิเศษของผู้นั้นเป็นอย่างไร

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรโตเทยยะ ผู้ใดไม่มีกามทั้งหลาย ไม่มีตัณหา และข้ามความสงสัยได้แล้ว ความพ้นวิเศษอย่างอื่นของผู้นั้นไม่มี
    
ต. ผู้นั้นไม่มีความปรารถนา หรือยังปรารถนาอยู่ ผู้นั้นเป็นผู้มีปัญญา หรือยังเป็นผู้มีปรกติกำหนดด้วยปัญญาอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยะ ข้าพระองค์จะพึงรู้แจ้งมุนีได้อย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุรอบคอบ ขอพระองค์จงตรัสบอกมุนีนั้นให้แจ้งชัดแก่ข้าพระองค์เถิด
    
พ. ดูกรโตเทยยะ ผู้นั้นไม่มีความปรารถนา และไม่เป็นผู้ปรารถนาอยู่ด้วย ผู้นั้นเป็นคนมีปัญญามิใช่เป็นผู้มีปรกติกำหนดด้วยปัญญาอยู่ด้วย ท่านจงรู้จักมุนี ว่าเป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ข้องอยู่แล้วในกามและภพแม้อย่างนี้
                      
กัปปปัญหา
    
กัปปมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอพระองค์จงตรัสบอกซึ่งธรรมอันเป็นที่พึ่งของชนทั้งหลาย ผู้อันชราและมรณะครอบงำแล้วดุจที่พึ่งของชนทั้งหลายผู้อยู่ในท่ามกลางสาคร เมื่อคลื่นเกิดแล้ว มีภัยใหญ่ฉะนั้น อนึ่ง ขอพระองค์จงตรัสบอกที่พึ่งแก่ข้าพระองค์โดยอุบายที่ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรกัปปะ ธรรมชาติไม่มีเครื่องกังวล ไม่มีความถือมั่น นี้เป็นที่พึ่ง หาใช่อย่างอื่นไม่ เรากล่าวที่พึ่งอันเป็นที่สิ้นไปแห่งชราและมรณะว่านิพพาน ชนเหล่าใดรู้นิพพานนั้นแล้ว มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้นไม่อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่เดินไปในทางของมาร
                      
ชตุกัณณีปัญหา
    
ชตุกัณณีมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ข้าพระองค์ได้ฟังพระองค์ผู้ไม่ใคร่กาม จึงมาเฝ้าเพื่อทูลถามพระองค์ผู้ล่วงห้วงน้ำคือกิเลสเสียได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระเนตรคือพระสัพพัญญุตญาณเกิดพร้อมแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอกทางสันติตามจริงเถิด ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้มีปัญญาดังแผ่นดินขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมเครื่องละชาติละชรา ณ ที่นี้ ที่ข้าพระองค์ควรจะรู้แจ้ง แก่ข้าพระองค์ผู้มีปัญญาน้อยเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรชตุกัณณีท่านได้เห็นซึ่งเนกขัมมะโดยความเป็นธรรมอันเกษมแล้ว จงนำความกำหนัดในกามทั้งหลายเสียให้สิ้นเถิด อนึ่ง กิเลสชาติเครื่องกังวลที่ท่านยึดไว้แล้ว ซึ่งควรจะปลดเปลื้องเสีย อย่ามีแล้วแก่ท่าน กิเลสเครื่องกังวลใดได้มีแล้วในกาลก่อน ท่านจงทำกิเลสเครื่องกังวลนั้นให้เหือดแห้งเสียเถิด กิเลสเครื่องกังวลในภายหลังอย่าได้มีแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือเอากิเลสเครื่องกังวลในท่ามกลางไซร้ท่านจักเป็นผู้สงบ เที่ยวไป ดูกรพราหมณ์ เมื่อท่านปราศจากความกำหนัดในนามและรูปแล้วโดยประการทั้งปวง อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้ไปสู่อำนาจแห่งมัจจุราชก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน
                      
ภัทราวุธปัญหา
    
ภัทราวุธมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอนพระองค์ ผู้ทรงละอาลัย ตัดตัณหาเสียได้ ไม่หวั่นไหว พ้นวิเศษแล้ว ชนในชนบทต่างๆประสงค์จะฟังพระดำรัสของพระองค์ มาพร้อมกันแล้วจากชนบททั้งหลาย ได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ผู้ประเสริฐแล้ว จักกลับไปจากที่นี้  ขอพระองค์จงตรัสพยากรณ์แก่ชนในชนบทต่างๆ เหล่านั้นให้สำเร็จประโยชน์เถิด เพราะธรรมนี้พระองค์ทรงรู้แจ้งแล้วด้วยประการนั้น

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรภัทราวุธะ หมู่ชนควรจะนำเสียซึ่งตัณหาเป็นเครื่องถือมั่นทั้งปวงในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ และในส่วนเบื้องขวางสถานกลางให้สิ้นเชิง เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมถือมั่นสิ่งใดๆ ในโลก มารย่อมติดตามสัตว์ได้เพราะสิ่งนั้นแหละ เพราะเหตุนั้น ภิกษุเมื่อรู้ชัดอยู่ มาเล็งเห็นหมู่สัตว์ ผู้ติดข้องอยู่แล้วในวัฏฏะ อันเป็นบ่วงแห่งมารนี้ว่า เป็นหมู่สัตว์ติดข้องอยู่แล้วเพราะการถือมั่นดังนี้ พึงเป็นผู้มีสติ ไม่ถือมั่นเครื่องกังวลในโลกทั้งปวง
                      
อุทยปัญหา
    
อุทยมาณพทูลถามปัญหาว่า

ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมอันเป็นเครื่องพ้นที่ควรรู้ทั่วถึงสำหรับทำลายอวิชชาเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรอุทยะ เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องละความพอใจในกาม และโทมนัส ทั้งสองอย่างเป็นเครื่องบรรเทาความง่วงเหงา เป็นเครื่องห้ามความรำคาญ บริสุทธิ์ดีเพราะอุเบกขาและสติ มีความตรึกถึงธรรมแล่นไปในเบื้องหน้า ว่าเป็นธรรมเครื่องพ้นที่ควรรู้ทั่วถึงสำหรับทำลายอวิชชา
    
อุ. โลกมีธรรมอะไรประกอบไว้ ธรรมชาติอะไรเป็นเครื่องพิจารณาของโลกนั้น เพราะละธรรมอะไรได้เด็ดขาด ท่านจึงกล่าวว่า นิพพาน
    
พ. โลกมีความเพลิดเพลินประกอบไว้ ความตรึกไปต่างๆ เป็นเครื่องพิจารณาของโลกนั้น เพราะละตัณหาได้เด็ดขาด ท่านจึงกล่าวว่า นิพพาน
    
อุ. เมื่อบุคคลระลึกอย่างไรเที่ยวไปอยู่ วิญญาณจึงจะดับ ข้าพระองค์ทั้งหลายมาเฝ้าเพื่อทูลถามพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอฟังพระดำรัสของพระองค์
    
พ. เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินเวทนา ทั้งภายในและภายนอก ระลึกอย่างนี้ เที่ยวไปอยู่ วิญญาณจึงจะดับ
                      
โปสาลปัญหา
    
โปสาลมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ศากยะ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณของบุคคลผู้มีความสำคัญในรูปก้าวล่วงเสียแล้ว ละรูปกายได้ทั้งหมด เห็นอยู่ว่าไม่มีอะไรน้อยหนึ่งทั้งภายในและภายนอก บุคคลเช่นนั้นควรแนะนำอย่างไร

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกรโปสาละ พระตถาคตทรงรู้ยิ่ง ซึ่งภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณทั้งปวง ทรงทราบบุคคลนั้นผู้ยังดำรงอยู่ ผู้น้อมไปแล้วในอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นต้น ผู้มีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นต้นนั้นเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ผู้ที่เกิดในอากิญจัญญายตนสมาบัติว่ามีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบ ดังนี้แล้ว แต่นั้นย่อมเห็นอริยสัจแจ้งในอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น ญาณของบุคคลนั้นผู้เป็นพราหมณ์ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เป็นญาณอันถ่องแท้อย่างนี้
    
โมฆราชปัญหา
    
โมฆราชมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ศากยะ ข้าพระองค์ได้ทูลถามปัญหาถึงสองครั้งแล้ว พระองค์ผู้มีพระจักษุไม่ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นเทพฤาษี จะทรงพยากรณ์ในครั้งที่สาม ข้าพระองค์จึงขอทูลถามว่า โลกนี้ โลกอื่น พรหมโลก กับทั้งเทวโลก บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจะไม่เห็น

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกรโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่าเถิด จงถอนความตามเห็นว่าเป็นตัวตนเสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอาการอย่างนี้  บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น
                
ปิงคิยปัญหา
    
ปิงคิยมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าพระองค์เป็นคนแก่แล้ว มีกำลังน้อย ผิวพรรณเศร้าหมองนัยน์ตาทั้งสองของข้าพระองค์ไม่ผ่องใส (เห็นไม่จะแจ้ง) หูสำหรับฟังก็ไม่สะดวก ขอข้าพระองค์อย่าได้เป็นคนหลงฉิบหายเสียในระหว่างเลย ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพระองค์ควรรู้ ซึ่งเป็นเครื่องละชาติและชราในอัตภาพนี้เสียเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรปิงคิยะ ชนทั้งหลายได้เห็นเหล่าสัตว์ผู้เดือดร้อนอยู่ เพราะรูปทั้งหลายแล้ว ยังเป็นผู้ประมาทก็ย่อยยับอยู่เพราะรูปทั้งหลาย ดูกรปิงคิยะเพราะเหตุนั้นท่านจงเป็นคนไม่ประมาทละรูปเสียเพื่อความไม่เกิดอีก
    
ปิ. ทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ รวมเป็นสิบทิศ สิ่งไรๆ ในโลกที่พระองค์ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟังไม่ได้ทราบ หรือไม่ได้รู้แจ้ง มิได้มี ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพระองค์ควรรู้ เป็นเครื่องละชาติและชราในอัตภาพนี้เถิด
    
พ. ดูกรปิงคิยะ เมื่อท่านเห็นหมู่มนุษย์ผู้ถูกตัณหาครอบงำแล้วเกิดความเดือดร้อน อันชราถึงรอบข้าง ดูกรปิงคิยะ เพราะเหตุนั้น ท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละตัณหาเสีย เพื่อความไม่เกิดอีก
                            
ประชาชนเป็นจำนวนมากได้ประโยชน์ด้วย

พระผู้มีพระภาคอันพราหมณ์ ๑๖ คน ทูลถามปัญหาแล้ว ได้ทรงประกาศประทานธรรมกะชนผู้มาประชุมกันเต็มที่ ณ ปาสาณกเจดีย์ ในบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์ เพราะการถามโสฬสปัญหา พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมอันประกาศอรรถบริบูรณ์ด้วยพยัญชนะ เป็นที่เกิดความเกษมอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก เป็นเหตุให้ปลดเปลื้องกิเลสทั้งปวงได้

ท่านพระปิงคิยะรายงานแก่พราหมณ์พาวรี
    
พราหมณ์มาณพทั้ง ๑๕ คนเหล่านั้น อันพระพุทธเจ้าให้ยินดีแล้ว ได้ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของพระพุทธเจ้า ส่วนปิงคิยมานพได้กลับไปรายงานแก่พราหมณ์พาวรี
    
ปิงคิยมาณพกล่าวกะพราหมณ์พาวรีว่า ดูกรท่านพราหมณาจารย์ พระพุทธเจ้าทรงบรรเทาความมืด มีพระจักษุรอบคอบ ทรงถึงที่สุดของโลก ทรงล่วงภพได้ทั้งหมด ไม่มีอาสวะ ทรงละทุกข์ได้ทั้งปวง มีพระนามตามความเป็นจริงว่า พุทโธ อันอาตมาเข้าเฝ้าแล้ว นกพึงละป่าเล็กแล้วมาอยู่อาศัยป่าใหญ่อันมีผลไม้มาก ฉันใด อาตมามาละคณาจารย์ผู้มีความเห็นน้อยแล้ว ได้ประสบพระพุทธเจ้าผู้มีความเห็นประเสริฐ เหมือนหงส์โผลงสู่สระใหญ่ แม้ฉันนั้น

ก่อนแต่ศาสนาของพระโคดม อาจารย์เหล่าใด ได้พยากรณ์ลัทธิของตนแก่อาตมาในกาลก่อนว่า เหตุนี้ได้เป็นมาแล้วอย่างนี้ จักเป็นอย่างนี้ คำพยากรณ์ของอาจารย์เหล่านั้นทั้งหมด ไม่ประจักษ์แก่ตน คำพยากรณ์ทั้งหมดนั้น เป็นเครื่องทำความตรึกให้ทวีมากขึ้น พระโคดมพระองค์เดียวทรงบรรเทาความมืดสงบระงับ มีพระรัศมีโชติช่วง มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน มีพระปัญญากว้างขวาง ได้ทรงแสดงธรรมอันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหาไม่มีจัญไร หาอุปมาในที่ไหนๆ มิได้ แก่อาตมา

พราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์ถามพระปิงคิยะว่า ท่านปิงคิยะ พระโคดมพระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมอันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหา ไม่มีจัญไร หาอุปมาในที่ไหนๆ มิได้แก่ท่าน เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงอยู่ปราศจากพระโคดมพระองค์นั้น ผู้มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน มีพระปัญญากว้างขวางสิ้นกาลแม้ครู่หนึ่งเล่า

พระปิงคิยะกล่าวคาถาตอบพราหมณ์พาวรีว่า ท่านพราหมณ์ อาตมามิได้อยู่ปราศจากพระโคดมพระองค์นั้น ผู้มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน มีพระปัญญากว้างขวาง สิ้นกาลแม้ครู่หนึ่ง ท่านพราหมณ์ อาตมาไม่ประมาททั้งกลางคืนกลางวัน เห็นอยู่ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้นด้วยใจเหมือนเห็นด้วยจักษุ ฉะนั้น อาตมานมัสการอยู่ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้นตลอดราตรี อาตมาสำคัญความไม่อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้น ด้วยความไม่ประมาทนั้น ศรัทธา ปีติ มานะ และสติของอาตมาย่อมน้อมไปในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้โคดม พระพุทธเจ้าผู้โคดมผู้มีพระปัญญากว้างขวาง ประทับอยู่ยังทิศาภาคใดๆ อาตมานั้นเป็นผู้นอบน้อมไปโดยทิศาภาคนั้นๆ นั่นแล

ร่างกายของอาตมาผู้แก่แล้ว มีกำลังและเรี่ยวแรงน้อยนั่นเองท่านพราหมณ์ อาตมาไปสู่พระพุทธเจ้าด้วยการไปแห่งความดำริเป็นนิตย์ เพราะว่าใจของอาตมาประกอบแล้วด้วยพระพุทธเจ้านั้น อาตมานอนอยู่บนเปือกตม คือกาม ดิ้นรนอยู่ ลอยจากเกาะ(กาย)หนึ่งไปสู่เกาะหนึ่ง ครั้งนั้นอาตมาได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงข้ามโอฆะได้แล้ว ไม่มีอาสวะ
    
ในเวลาจบคาถานี้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ของพระปิงคิยะ และพราหมณ์พาวรีแล้ว ประทับอยู่ ณ นครสาวัตถีนั้นเอง ทรงเปล่งพระรัศมีดุจทองไปแล้ว พระปิงคิยะกำลังนั่งพรรณนาพระพุทธคุณแก่พราหมณ์พาวรีอยู่ ได้เห็นพระรัศมีแล้วคิดว่า นี้อะไรเหลียวแลไป ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประหนึ่งประทับอยู่เบื้องหน้าตน จึงบอกแก่พราหมณ์พาวรีว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว พราหมณ์พาวรีได้ลุกจากอาสนะประคองอัญชลียืนอยู่

แม้พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแผ่พระรัศมีแสดงพระองค์แก่พราหมณ์พาวรีทรงทราบธรรมเป็นที่สบายของพระปิงคิยะและพราหมณ์พาวรีทั้งสองแล้ว เมื่อจะตรัสเรียกแต่พระปิงคิยะองค์เดียว จึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

ดูกรปิงคิยะ พระวักกลิ พระภัทราวุธะ และพระอาฬวีโคดม เป็นผู้มีศรัทธาน้อมลงแล้ว ได้บรรลุอรหัตด้วยศรัทธาธิมุติฉันใด แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาลง ฉันนั้น ดูกรปิงคิยะเมื่อท่านน้อมลงด้วยศรัทธา ปรารภวิปัสสนา โดยนัยเป็นต้นว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ก็จักถึงนิพพาน อันเป็นฝั่งโน้นแห่งวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมัจจุราช

พระปิงคิยะเมื่อจะประกาศความเลื่อมใสของตนจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์นี้ย่อมเลื่อมใสอย่างยิ่ง เพราะได้ฟังพระวาจาของพระองค์ผู้เป็นมุนี พระองค์มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้ว ตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง ไม่มีกิเลสดุจเสาเขื่อน ทรงมีปฏิภาณ ทรงทราบธรรมเป็นเหตุกล่าวว่าประเสริฐยิ่ง ทรงทราบธรรมชาติทั้งปวง ทั้งเลวและประณีต พระองค์เป็นศาสดาผู้กระทำที่สุดแห่งปัญหาทั้งหลายแก่เหล่าชนผู้มีความสงสัยปฏิญาณอยู่ นิพพานอันกิเลสมีราคะเป็นต้นไม่พึงนำไปได้ เป็นธรรมไม่กำเริบ หาอุปมาในที่ไหนๆ มิได้  ข้าพระองค์จักถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุแน่แท้ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยในนิพพานนี้เลย  ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นผู้มีจิตน้อมไปแล้วในนิพพานด้วยประการนี้แล



พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๔๒๔-๔๔๓/๓๙๑-๔๑๕

ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์






ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์



ธรรมวิจัยเป็นกระบวนการหลักในการศึกษาและการปฏิบัติธรรม ทั้งเป็นกลไกสำคัญแห่งการบรรลุธรรม  พระผู้มีพระภาคทรงสอนในสัมโพชฌงค์ ให้บุคคลเจริญมหาสติปัฏฐาน แล้วตามด้วยธรรมวิจัย เพื่อให้เกิดวิริยะ จนได้ปีติ เกิดปัสสัทธิ ตั้งมั่นในสมาธิ จิตมีอุเบกขาเป็นวิหารธรรมปกติ ทรงประกาศว่า โพชฌงค์ ๗ คือองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้

ธรรมวิจัยมีสี่ประเภทคือ

ธรรมปฏิสัมภิทา 
เป็นการวิจัย เพื่อวิภังค์ (วิเคราะห์) ว่า สิ่งใดคือความเป็นจริง (สัจจธรรม) สิ่งใดคือความเป็นเท็จ (อธรรม)  สิ่งใดเป็นประโยชน์สุข (กุศลธรรม) สิ่งใดเป็นโทษทุกข์ (อกุศลธรรม)  สิ่งใดเป็นกลาง (อัพยากฤตธรรม)  สิ่งใดเป็นการปฏิบัติที่เกิดผลสัมฤทธิ์ได้จริง (สัมมาปฏิปทา) สิ่งใดเป็นการปฏิบัติที่ไม่อาจบรรลุผลสำเร็จได้ (มิจฉาปฏิปทา) ซึ่งต้องศึกษาพระธรรมโดยถ้วนทั่ว

นิรุกติปฏิสัมภิทา
เป็นการวิจัยเพื่อเข้าใจธรรมชาติธาตุแท้ และกลไกการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของแต่ละองค์ธรรม เช่น “วิญญาณ” “เจตสิก”  “ธาตุ” “นิพพาน” ฯลฯ จนแตกฉานแต่ละสิ่ง ซึ่งต้องวิภังค์ (วิเคราะห์) และสังคณีย์ (สังเคราะห์) ความมีอยู่เป็นอยู่ของสิ่งนั้น กระบวนการทำงานทั้งหมดของสิ่งนั้นอย่างปรุโปร่ง ทั้งความสัมพันธ์กับองค์ธรรมอื่นๆ ซึ่งต้องศึกษาพระธรรมทั้งภาคบัญญัติ และภาคปฏิบัติจริง จนแจ่มแจ้ง สามารถแสดง สาธยาย อธิบาย ขยาย ย่อ คลี่คลายข้อกังขา ตอบข้อโต้แย้งให้เข้าใจได้ด้วยภาษาที่เหมาะสม เปี่ยมความหมาย และมีพลัง

อรรถปฏิสัมภิทา
เป็นการวิจัยเพื่อนำความหมายแห่งคุณค่าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจิตใจและโลกแห่งความเป็นจริง  เช่นธรรมะเพื่อสุขภาพ ธรรมะเพื่อการบริหาร ธรรมเพื่อความเป็นผู้นำ ธรรมะเพื่อระบบเศรษฐกิจ ธรรมะเพื่อการปกครอง ธรรมะเพื่อความเจริญ ธรรมะเพื่อการตายอย่างสงบสุขและไปดี ธรรมะเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ฯลฯ ซึ่งต้องสังเคราะห์ธรรมเพื่อผลสัมฤทธิ์นั้นอย่างครบถ้วน และวิจัยหาอุบายแห่งปฏิปทาที่จะนำสู่ผลสัมฤทธิ์จริง

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา
เป็นการวิจัยเพื่อสร้างปัญญาอันพอเหมาะพอดีฉับไวเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ และแต่ละบุคคล  แบบอย่างที่ดีที่สุดของปฏิภาณปฏิสัมภิทา คือการสอนธรรมของพระพุทธองค์และพระอรหันต์สมัยพุทธกาล  ซึ่งท่านสอนธรรมอย่างพอเหมาะพอดีกับบุคคลและสถานการณ์ (ไม่มากไม่น้อย) และได้ผลอันควรเสมอ 
การฝึกปฏิภาณปฏิสัมภิทาของพุทธชนรุ่นหลังจึงทำได้สามขั้นตอนคือ 
1) ศึกษาแบบแผนการสอนธรรมของพระพุทธองค์และพระอรหันต์สมัยพุทธกาล 
2) ถอดแบบการปฏิบัติธรรมตามแบบของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สมัยพุทธกาลซึ่งนำสู่การบรรลุธรรมโดยง่ายและโดยเร็ว 
3) ปฏิบัติตามนั้นจนได้ผลจริง 
การกระทำทั้งสามประการดังกล่าว สามารถวิจัยได้จากแต่ละพระสูตรเพียงพระสูตรเดียว เพราะแต่ละพระสูตรมีความสมบูรณ์ในตัวเองอย่างพอเหมาะพอดีกับบริบทนั้นๆ จนเกิดผลเลิศที่เป็นไปได้แล้ว  หากพยายามวิจัยด้วยการผสมมากกว่านั้นจะเกินพอดี หากวิจัยไม่ครบพระสูตรจะขาดพอดี  ความขาดๆ เกินๆ นั่นเองคือความไร้ปฏิภาณเพื่อผลอันง่าย ตรง และเร็ว
ธรรมวิจัยในพระพุทธศาสนาเป็นการวิจัยธรรมด้วยมหาสติ (สติปัฏฐาน) เพื่อการปฏิบัติอย่างเหมาะสม (วิริยะ) จนได้ปีติ เกิดปัสสัทธิ ตั้งมั่นในสมาธิ จิตมีอุเบกขาเป็นวิหารธรรมปกติ มิใช่การวิจัยเพื่อความฟุ้งเฟื่องแห่งความรู้ที่ไม่เกิดประโยชน์ หรือไม่นำสู่ผลจริง
ธรรมวิจัยแห่งโพชฌงค์จึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้วิจัย และเป็นประโยชน์เสริมส่งต่อผู้ได้ศึกษาต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังเป็นการรื้อฟื้นธรรมสมบัติที่ถูกลืมให้กลับมาแผ่อานุภาพอีกครั้ง เพราะพระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า “เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ธรรมวินัยจักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย”  การดูแลรักษาพระธรรมจึงเป็นการดูแลรักษาพระศาสดาโดยตรง

วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พุทธศาสนสุภาษิต:หมวดความโกรธ


พุทธศาสนสุภาษิต:หมวดความโกรธ

  • โกธํ ทเมน อุจฺฉินฺเท : พึงตัดความโกรธด้วยความข่มใจ
  • โกโธ สตฺถมลํ โลเก : ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก
  • โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ : ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข
  • โกธํ ปญฺญาย อุจฺฉินฺเท : พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา
  • โกธสมฺมทสมฺมตฺโต อายสกฺยํ นิคจฺฉติ : ผู้เมามึนด้วยความโกรธ ย่อมถึงความไร้ยศศักดิ์
  • ยํ กุทฺโธ อุปโรเธติ สุกรํ วิย ทุกฺกรํ : ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย
  • อนตฺถชนโน โกโธ : ความโกรธก่อความพินาศ
  • ทุกฺขํ สยติ โกธโน : คนมักโกรธ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
  • อปฺโป หุตฺวา พหุ โหติ วฑฺฒเต โส อขนฺติโช : ความโกรธน้อยแล้วมาก มันเกิดจากความไม่อดทน จึงทวีขึ้น
  • ปจฺฉา โส วิคเต โกเธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ : ภายหลังเมื่อความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้
  • อนตฺถชนโน โกโธ : ความโกรธ ก่อความพินาศ
  • โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ : ฆ่าความโกรธได้อยู่เป็นสุข
  • โกธาภิภูโต  กุสลํ  ชหาติ : ผู้ถูกความโกรธครอบงำ ย่อมสละกุศลเสีย
  • กุทฺโธ  ธมฺมํ  น  ปสฺสติ : ผู้โกรธย่อมไม่เห็นธรรม
  • โกธชาโต  ปราภโว : ผู้เกิดความโกรธแล้ว เป็นผู้ชิบหาย
- ผู้โกรธ ย่อมไม่เห็นธรรม 
-  พึงตัดความโกรธด้วยความข่มใจ 
-  ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก 
-  ผู้ถูกความโกรธครอบงำ ย่อมไม่มีที่พำนักสักนิดเดียว (เพราะความโกรธได้เข้าพำนักหมดสิ้นแล้ว) 
- ความโกรธย่อมทำจิตให้กำเริบ 
-  ผู้โกรธ ย่อมไม่รู้อรรถ 
-  ความโกรธเป็นอารมณ์ของคนมีปัญญาทราม 
-  ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข 
-  พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา 
-  ผู้ถูกความโกรธครอบงำ ย่อมละกุศลเสีย 
-  ผู้ถูกความโกรธครอบงำ ย่อมถึงความเสื่อมทรัพย์ 
-  ผู้เกิดความโกรธแล้ว เป็นผู้ฉิบหาย 
-  คนมักโกรธ ย่อมมีผิวพรรณเศร้าหมอง 
-  ผู้มืนเมาด้วยความโกรธ ย่อมถึงความไร้ยศศักดิ์ 
-  ความโกรธครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดมนย่อมเกิดมีขึ้นเมื่อนั้น 
-  ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย 
-  ความโกรธก่อความพินาศ 
-  ฆ่าความโกรธได้ ไม่โศกเศร้า 
-  คนมักโกรธ ย่อมอยู่เป็นทุกข์ 
-  โทสะมีความโกรธเป็นสมุฏฐาน 
-  ความโกรธน้อยแล้วมาก มักเกิดจากความไม่อดทน จึงทวีขึ้น 
-  ความผิดเสมอด้วยโทสะไม่มี 
-  ความโกรธไม่ดีเลย 
-  อย่าลุแก่อำนาจความโกรธ 
-  ผู้โกรธ ย่อมฆ่ามารดาของตนได้ 
-  ญาติมิตรและสหาย ย่อมหลีกเลี่ยงคนมักโกรธ 
-  ภายหลังเมื่อความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้ 
-  คนมักโกรธถือเอาประโยชน์แล้ว กลับประพฤติไม่เป็นประโยชน์


ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ
baanjomyut.com
61.19.145.8
ecurriculum.mv.ac.th

พุทธศาสนสุภาษิต : หมวดสามัคคี


พุทธศาสนสุภาษิต : หมวดสามัคคี

   
  -  สามัคคีของหมู่ทำให้เกิดสุข
  -  จงสามัคคีมีน้ำใจต่อกัน
  -  ความเพียรของหมู่ชนผู้พร้อมเพรียงกันทำให้เกิดสุข
  -  สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันยังฆ่าเสือโคร่งได้ เพราะใจรวมเป็นอันเดียว
  -  ความพร้อมเพรียงของปวงชนผู้เป็นหมู่ ยังความเจริญให้สำเร็จ
  -  พึงศึกษาความสามัคคี ความสามัคคีนั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลาย สรรญเสริญแล้ว ผู้ยินดีในสามัคคี  
     ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
 -  ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย และความไม่วิวาทโดยความปลอดภัยแล้ว 
    เป็นผู้พร้อมเพรียง มีความประนีประนอมกันเถิด นี้เป็นพระพุทธานุศาสนี
 -  ผู้ใดเมื่อคนอื่นล่วงเกินกันอยู่ ตนเองกลับหาทางเชื่อมเขาให้คืนดีกันได้ ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นคน
     เอาภาระ เป็นผู้จัดธุระที่ดียอดเยี่ยม
 -  ผู้ใดรู้โทษที่ตนล่วงละเมิด ผู้ใดย่อมรับรู้โทษ ที่เขามาสารภาพ คนทั้งสองนี้ย่อมพร้อมเพรียง
    กันยิ่งขึ้น มิตรภาพของเขาย่อมไม่เสื่อมคลาย
 -  ถ้าแม้สัตบุรุษวิวาทกัน ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมแตกกัน
    เหมือนภาชนะดิน เขาย่อมไม่ได้ความสงบเวรกันเลย
 -  ความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข
 -  ถ้าสัตบุรุษวิวาทกัน ก็เชื่อมกันได้โดยเร็ว ส่วนคนพาลแตกกันเหมือนหม้อดิน เขาย่อมไม่ได้
     ความสงบเวรกันเลย
 -  ต้นไม้งามใหญ่โตที่ขึ้นโดดเดี่ยว ลมก็ย่อมพัดให้หักโค่นลงได้
 -  การอนุเคราะห์หมู่ผู้พร้อมเพรียงกัน ก่อให้เกิดความสุข
 -  ผู้ทำลายสงฆ์ต้องไปเกิดในอบายนรกตลอดกัป
 -  สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ยังฆ่าเสือโคร่งได้ เพราะใจรวมเป็นอันเดียว
 -  ความเพียรของหมู่ชนผู้พร้อมเพรียงกัน ก่อให้เกิดความสุข
 -  ผู้ใด เมื่อคนอื่นล่วงเกินกันอยู่ ตนเองกลับหาทาง เชื่อมเขาให้คืนดีกันได้ ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็น
     คนเอาภาระเป็นผู้จัดธุระที่ดียอดเยี่ยม
 -  ภิกษุสมานสงฆ์ ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว ย่อมบันเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป

ขอบคุณที่มาข้อมูล
baanjomyut.com
mongkolchevit.googlepages.com
ขอบคุณที่มารูปภาพ
webboard.crsc.kmitl.ac.th