ความหมายของพระไตรปิฎก
พระไตรปิฎก หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า ติปิฏก หรือ เตปิฏก นั้น เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับคัมภีร์ไตรเวทของศาสนาพราหมณ์ ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ อัล กุรอาน ของศาสนาอิสลามกล่าวโดยรูปศัพท์ คำว่า ไตรปิฎก แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำ ๆ จะได้ดังนี้คือ
คำว่า พระไตรปิฎก แยกเป็น ๓ คำ คือ พระ + ไตร + ปิฎก
คำว่า พระ มาจากคำว่า วร แปลว่า ประเสริฐ เลิศ เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง
คำว่า ไตร แปลว่า สาม (ติ หรือ เต ก็แปลว่า สาม เช่นเดียวกัน)
คำว่า ปิฎก แปลได้ ๒ อย่าง คือ
๑. แปลว่า คัมภีร์ หรือ ตำรา
๒. แปลว่า กระจาด หรือ ตะกร้า ที่แปลว่า กระจาดหรือตะกร้า หมายความว่า เป็นที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของฉะนั้น
สรุป คำว่า พระไตรปิฎก หมายถึง คัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนาที่บรรจุรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกต่อการศึกษาค้นคว้า
ประเภทของพระไตรปิฎก
พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นคัมภีร์ที่บรรจุคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเอกสารในการอ้างอิงคำสอนที่น่าเชื่อถือที่สุด แบ่งออกเป็น ๓ คัมภีร์ หรือ ๓ ประเภท คือ
๑. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุและภิกษุณี
๒. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่ว ๆ ไป มีนิทานชาดกประกอบ
๓. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมล้วน ๆ หรือธรรมที่สำคัญ ไม่มีนิทานชาดกประกอบ
ความเป็นมาของพระไตรปิฎก
ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ และในช่วงแรกที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานใหม่ ๆ ยังไม่มีพระไตรปิฎกซึ่งเป็นที่บรรจุรวบรวมคำสอนไว้เป็นหมวดหมู่แต่อย่างใด คำสั่งสอนมิได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ใช้วิธีการจดจำเป็นหลัก ซึ่งเรียกว่า มุขปาฐะ ในขณะที่ยังทรงมีพระชนม์อยู่นั้น คำสั่งสอนของพระองค์เรียกว่า พรหมจรรย์ ครั้นต่อมาเรียกว่า พระธรรมวินัย จนกระทั่งมีการทำสังคายนา คือมีการชำระตรวจสอบ รวบรวมคำสั่งสอนไว้เป็นหมวดหมู่แล้วจึงเกิด พระไตรปิฎก ขึ้นในภายหลังต่อมา
การกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก จำ เป็นต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ยังมิได้จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรรวมทั้ง หลักฐานการท่องจำและข้อความที่กระจัดกระจายยังมิได้จัดเป็นหมวดหมู่ จนถึงมีการทำสังคายนาคือจัดระเบียบหมวดหมู่ การจารึกเป็นตัวหนังสือและการพิมพ์เป็นเล่ม
ในเบื้องต้นขอกล่าวถึงพระเถระ ๔ รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ
๑. พระอานนท์ ผู้เป็นพระอนุชา (ลูกพี่ลูกน้อง) และเป็นผู้อุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงจำพระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกไว้ได้มาก
๒. พระอุบาลี ผู้เชี่ยวชาญพระวินัย ในฐานะที่ทรงจำพระวินัยปิฎกไว้ได้มาก
๓. พระโสณกุฏิกัณณะ ผู้เคยท่องจำบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก และกล่าวข้อความนั้นแบบปากเปล่า ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดีมาก ทั้งสำเนียงที่กล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจนแจ่มใส เป็นตัวอย่างแห่งการท่องจำในสมัยที่ยังไม่มีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นตัวหนังสือ
๔. พระมหากัสสปะ เป็นผู้ริเริ่มการทำสังคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้เป็น
หมวดหมู่ ในข้อนี้ย่อมโยงไปถึงพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร และพระจุนทะน้องชาย ของพระสารีบุตร ซึ่งเคยเสนอให้เห็นความสำคัญของการทำสังคายนา คือจัดระเบียบ
คำสอนให้เป็นหมวดหมู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น