วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระไตรปิฎก

ความหมายของพระไตรปิฎก 
           พระไตรปิฎก  หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า  ติปิฏก  หรือ  เตปิฏก  นั้น  เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนา  เช่นเดียวกับคัมภีร์ไตรเวทของศาสนาพราหมณ์ ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ อัล กุรอาน ของศาสนาอิสลามกล่าวโดยรูปศัพท์  คำว่า  ไตรปิฎก  แปลว่า  ๓  คัมภีร์  เมื่อแยกเป็นคำ ๆ จะได้ดังนี้คือ
           คำว่า  พระไตรปิฎก  แยกเป็น  ๓  คำ  คือ  พระ + ไตร +  ปิฎก 
           คำว่า  พระ  มาจากคำว่า  วร  แปลว่า  ประเสริฐ  เลิศ  เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง 
           คำว่า  ไตร  แปลว่า  สาม  (ติ หรือ เต ก็แปลว่า  สาม  เช่นเดียวกัน)
           คำว่า  ปิฎก  แปลได้  ๒  อย่าง  คือ 
๑.   แปลว่า  คัมภีร์  หรือ  ตำรา
๒.  แปลว่า  กระจาด  หรือ  ตะกร้า  ที่แปลว่า กระจาดหรือตะกร้า  หมายความว่า  เป็นที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย  คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของฉะนั้น
สรุป  คำว่า  พระไตรปิฎก  หมายถึง  คัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนาที่บรรจุรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่  เพื่อสะดวกต่อการศึกษาค้นคว้า

ประเภทของพระไตรปิฎก               
พระไตรปิฎก  เป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา  เพราะเป็นคัมภีร์ที่บรรจุคำสอนของพระพุทธเจ้า  เป็นเอกสารในการอ้างอิงคำสอนที่น่าเชื่อถือที่สุด แบ่งออกเป็น  ๓  คัมภีร์  หรือ  ๓  ประเภท  คือ
๑.  พระวินัยปิฎก                 ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุและภิกษุณี
๒. พระสุตตันตปิฎก          ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่ว ๆ ไป มีนิทานชาดกประกอบ

๓.  พระอภิธรรมปิฎก         ว่าด้วยธรรมล้วน ๆ หรือธรรมที่สำคัญ  ไม่มีนิทานชาดกประกอบ 

ความเป็นมาของพระไตรปิฎก               
           ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่  และในช่วงแรกที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานใหม่ ๆ ยังไม่มีพระไตรปิฎกซึ่งเป็นที่บรรจุรวบรวมคำสอนไว้เป็นหมวดหมู่แต่อย่างใด  คำสั่งสอนมิได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร  ใช้วิธีการจดจำเป็นหลัก  ซึ่งเรียกว่า  มุขปาฐะ  ในขณะที่ยังทรงมีพระชนม์อยู่นั้น  คำสั่งสอนของพระองค์เรียกว่า พรหมจรรย์  ครั้นต่อมาเรียกว่า  พระธรรมวินัย  จนกระทั่งมีการทำสังคายนา  คือมีการชำระตรวจสอบ  รวบรวมคำสั่งสอนไว้เป็นหมวดหมู่แล้วจึงเกิด  พระไตรปิฎก  ขึ้นในภายหลังต่อมา
           การกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก  จำ เป็นต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ยังมิได้จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรรวมทั้ง หลักฐานการท่องจำและข้อความที่กระจัดกระจายยังมิได้จัดเป็นหมวดหมู่  จนถึงมีการทำสังคายนาคือจัดระเบียบหมวดหมู่  การจารึกเป็นตัวหนังสือและการพิมพ์เป็นเล่ม
ในเบื้องต้นขอกล่าวถึงพระเถระ ๔ รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ
๑.       พระอานนท์  ผู้เป็นพระอนุชา (ลูกพี่ลูกน้อง)  และเป็นผู้อุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงจำพระสุตตันตปิฎก  และพระอภิธรรมปิฎกไว้ได้มาก
๒.     พระอุบาลี  ผู้เชี่ยวชาญพระวินัย  ในฐานะที่ทรงจำพระวินัยปิฎกไว้ได้มาก
๓.     พระโสณกุฏิกัณณะ  ผู้เคยท่องจำบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก  และกล่าวข้อความนั้นแบบปากเปล่า  ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า  ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดีมาก  ทั้งสำเนียงที่กล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจนแจ่มใส  เป็นตัวอย่างแห่งการท่องจำในสมัยที่ยังไม่มีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นตัวหนังสือ
๔.     พระมหากัสสปะ  เป็นผู้ริเริ่มการทำสังคายนา  จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้เป็น
           หมวดหมู่  ในข้อนี้ย่อมโยงไปถึงพระพุทธเจ้า  พระสารีบุตร  และพระจุนทะน้องชาย           ของพระสารีบุตร  ซึ่งเคยเสนอให้เห็นความสำคัญของการทำสังคายนา  คือจัดระเบียบ
           คำสอนให้เป็นหมวดหมู่ 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น