วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระเถระที่เกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก

พระอานนท์
           เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา  และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว 
ทรงแสดงธรรมโปรดเจ้าลัทธิต่าง ๆ กับทั้งพระราชาและมหาชนในแว่นแคว้นต่าง ๆ ในปลายปีแรกที่ตรัสรู้นั่นเอง  พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระพุทธบิดา  ทรงส่งทูตไปทูลเชิญพระศาสดาให้ไปแสดงธรรมโปรด  ณ  กรุงกบิลพัสดุ์  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์  ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติแล้ว  พระประยูรญาติต่างพากันเลื่อมใสให้พระโอรสของตนออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก
           พระอานนท์  เดิมเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุกโกทนะ  ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้า
สุทโธทนะ  เมื่อนับเชื้อสายแล้วจึงเป็นพระอนุชาหรือลูกผู้น้องของพระพุทธเจ้า  ท่านออกบวชพร้อมกับราชกุมารฝ่ายศากยวงศ์  ๔  พระองค์  คือ  อนุรุทธะ   ภัคคุ  กิมพิละ  ภัททิยะ  ฝ่ายโกลิยวงศ์  ๑  พระองค์  คือ  เทวทัต  และนายภูษามาลา  มีหน้าที่เป็นช่างกัลบก  ๑  คน  คือ  อุบาลี  รวมทั้งสิ้น  ๗  ท่าน  ในจำนวนนี้มีชื่อเสียงปรากฏและเป็นที่กล่าวถึงอยู่  ๔  ท่าน  คือ
๑.       พระอานนท์  เป็นพุทธอุปัฏฐาก  มีความทรงจำพระพุทธวจนะได้มาก
๒.     พระอนุรุทธะ  ชำนาญในทิพยจักษุ (มีตาทิพย์)
๓.     พระอุบาลี  มีความทรงจำพระวินัยได้มาก
๔.     พระเทวทัต  เป็นผู้ทำสังฆเภท  คือก่อความแตกแยกในหมู่สงฆ์  เป็นผู้ทำโลหิตุปบาท  คือ  ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต  สุดท้ายถูกแผ่นดินสูบจนถึงแก่มรณภาพกล่าวถึงเฉพาะพระอานนท์  เป็นผู้ทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐาก  คือรับใช้พระพุทธเจ้า  ก่อนที่จะรับหน้าที่นี้  ท่านได้ขอพร  ๘  ประการจากพระพุทธเจ้า  จัดเป็นเงื่อนไขฝ่ายปฏิเสธ  ๔  ประการ  และเงื่อนไขฝ่ายขอร้อง  ๔  ประการ  ดังนี้
          
            เงื่อนไขฝ่ายปฏิเสธ
  ๔  ประการ
๑.       จักไม่ประทานจีวรอันประณีตแก่ข้าพระองค์
๒.     จักไม่ประทานบิณฑบาต  อันประณีตแก่ข้าพระองค์
๓.     จักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับเดียวกันกับพระองค์
๔.     จักไม่ทรงพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์ด้วย
เงื่อนไขฝ่ายขอร้อง  ๔  ประการ
๕.     ขอให้พระองค์เสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้
๖.      ขอให้ข้าพระองค์นำบริษัทซึ่งมาแต่ที่ไกลเข้าเฝ้าได้
๗.     ถ้าความสงสัยของข้าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใด  ขอให้ข้าพระองค์ทูลถามได้ทุกเมื่อ
๘.     ถ้าพระองค์ทรงแสดงข้อความอันใดในที่ลับหลังของข้าพระองค์  ขอให้ตรัสบอกข้อความอันนั้นแก่ข้าพระองค์อีก
เหตุที่ท่านขอพรฝ่ายปฏิเสธ  ๔  ประการนั้น  เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นกล่าวตำหนิว่าท่าน
อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ  ส่วนพรฝ่ายขอร้อง  ๔  ประการนั้น  ๓  ข้อเบื้องต้น  เพื่อป้องกันผู้อื่นกล่าวตำหนิว่าจะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าไปทำไม  ในเมื่อพระองค์ไม่ทรงอนุเคราะห์แม้ด้วยเรื่องเพียงเท่านี้  ส่วนข้อสุดท้าย  ถ้ามีผู้สงสัยถามว่า  คาถานี้  สูตรนี้  ชาดกนี้  พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่ไหน  แก่ใคร  มีผลอย่างไร  ถ้าท่านตอบไม่ได้  ก็จะมีผู้ตำหนิติเตียนว่า  ตามเสด็จพระพุทธเจ้าดุจเงาตามตัว  แม้เรื่องเพียงเท่านี้ก็ไม่ทราบ
                เฉพาะพรข้อที่  ๘  เป็นอุปการะแก่การที่จะรวบรวมพระพุทธวจนะให้เป็นหมวดหมู่อย่างยิ่ง  เพราะเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว  พระอานนท์ได้รับหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับพระสูตรและพระอภิธรรม  ในคราวทำสังคายนาครั้งที่  ๑  หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว  ๓  เดือน
                พระอานนท์ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงจำดี  ท่านได้รับเอตทัคคะ  ๕  อย่าง  คือ
๑.       เป็นพหูสูต    คือ  เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมามาก  ได้แก่  ทรงจำพระพุทธวจนะได้มากที่สุด
๒.     เป็นผู้มีสติ     คือ  มีความระลึกนึกถึงก่อนที่จะทำ  พูด  คิด  อยู่เสมอ
๓.     เป็นผู้มีคติ      คือ  มีแนวในการจำพระพุทธวจนะ
๔.     เป็นผู้มีธิติ      คือ  มีความเพียร
๕.     เป็นพุทธอุปัฏฐาก  คือ  ผู้ดูแลรับใช้พระพุทธเจ้า
จากการที่ท่านได้รับยกย่องว่ามีเอตทัคคะถึง  ๕  อย่างดังกล่าวนี้  เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ท่านสามารถจดจำพระไตรปิฎกโดยเฉพาะพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมได้อย่างแม่นยำ  ในด้าน

พระสุตตันตปิฎกนั้นทุกพระสูตรจะมีคำขึ้นต้น (นิทานวจนะ) ว่า  เอวมฺเม  สุตํ   แปลว่า  ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้  ซึ่งคำว่า  เม   หมายถึงพระอานนท์นั่นเอง

พระอุบาลี  

    กล่าวถึงเรื่องของพระอุบาลี  ผู้เคยเป็นพนักงานภูษามาลาอยู่ในราชสำนักแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย  ท่านออกบวชพร้อมกับพระอานนท์และราชกุมารอื่น ๆ ดังกล่าวแล้ว  ท่านเป็นคนรับใช้ในวัง  แทนที่จะได้บวชเป็นสุดท้ายแต่กลับได้บวชก่อน  เพราะเจ้าชายเหล่านั้นต้องการลดทิฏฐิมานะของตนว่าเป็นตระกูลกษัตริย์  เมื่อบวชแล้วได้ศึกษาและจดจำพระวินัยได้อย่างแม่นยำและชำนาญ  ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับพระวินัย  นับได้ว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการรวบรวมข้อพระวินัยต่าง ๆ ทั้งของภิกษุและภิกษุณีให้เป็นหมวดหมู่มาจนถึงทุกวันนี้

พระโสณกุฏิกัณณะ
                                   ความ จริงท่านผู้นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระไตรปิฎก แต่ประวัติของท่านมีส่วนเป็นหลักฐานในการท่องจำพระไตรปิฎก ช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก  จึงได้นำเรื่องของท่านมากล่าวไว้ในที่นี้ด้วย  เรื่องของท่านผู้นี้ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก  เล่มที่  ๒๕  หน้า  ๑๖๐  อุทาน  มีใจความว่า  เดิมท่านเป็นอุบาสก  เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดพระมหากัจจายนเถระ  พำนักอยู่ใกล้ภูเขาอันทอดเชื่อมเข้าไปในนครชื่อ  กุรุรฆระ  ในแคว้นอวันตี  ท่านมีความเลื่อมใสในพระมหากัจจายนเถระและเลื่อมใสที่จะบรรพชาอุปสมบท พระเถระกล่าวว่าเป็นการยากที่จะประพฤติ
พรหมจรรย์  ท่านจึงแนะนำให้เป็นคฤหัสถ์  ประพฤติตนแบบอนาคาริกะ  คือเป็นผู้ไม่ครองเรือน  เมื่อถูกรบเร้าบ่อย ๆ ท่านจึงให้บรรพชา  ต่อมาอีก  ๓  ปี  จึงรวบรวมภิกษุสงฆ์ได้ครบ  ๑๐  รูป  จัดการอุปสมบทให้  หมายความว่าพระโสณกุฏิกัณณะต้องบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ถึง  ๓  ปี  จึงได้อุปสมบทเป็นภิกษุ
           ต่อมาท่านลาพระมหากัจจายนเถระเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ณ  เชตวนาราม  กรุงสาวัตถี  เมื่อไปถึงและถูกพระพุทธเจ้าตรัสถาม  ทราบความว่า  เดินทางไกลมาจากแคว้นอวันตี  คืออินเดียตอนใต้  จึงตรัสสั่งพระอานนท์ให้จัดที่พักให้  พระอานนท์พิจารณาว่า  พระองค์คงปรารถนาจะสอบถามอะไรกับภิกษุรูปนี้เป็นแน่แท้  จึงจัดที่พักในวิหารเดียวกันกับพระพุทธเจ้า
                          คืนนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่กลางแจ้งจนดึกจึงเสด็จเข้าสู่วิหาร  แม้พระโสณกุฏิกัณณะก็นั่งอยู่กลางแจ้งจนดึกจึงเข้าวิหารเช่นกัน  ครั้นเวลาใกล้รุ่ง  พระพุทธเจ้าจึงตรัสเชิญให้ท่านกล่าวธรรม  ซึ่งท่านได้กล่าวสูตรถึง  ๑๖  สูตร  (อัฏฐกวรรค  สุตตนิบาต  พระสุตตันตปิฎก  เล่มที่  ๒๕)  จนจบ  เมื่อจบแล้วพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาสรรเสริญความทรงจำ  และท่วงทำนองในการกล่าวว่ามีความไพเราะสละสลวย  แล้วตรัสถามเรื่องส่วนตัวอย่างอื่นอีก  เช่นว่ามีพรรษาเท่าไร  ออกบวชด้วยมีเหตุผลอย่างไร
                          เรื่องนี้เป็นตัวอย่างอันดีในเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกว่า ได้มีการท่องจำกันตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่  ใครสามารถหรือพอใจจะท่องจำส่วนไหนก็ท่องจำส่วนนั้น  ถึงกับมีครูอาจารย์กันเป็นสาย ๆ เช่น สายวินัยดังจะกล่าวต่อไปข้างหน้า

พระมหากัสสปะ           
          ท่านเป็นพระเถระผู้มีอาวุโสสูงสุดในสมัยที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน  ขณะที่ท่านพร้อมศิษย์กำลังเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ได้ทราบจากบุรษผู้หนึ่งถือดอกมณฑารพซึ่งเป็นดอกไม้จากสวรรค์ปกคลุมศีรษะเดินผ่านมา  ถามดูจึงรู้ว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว  ภิกษุผู้ยังมีกิเลสอยู่ต่างก็พากันร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ  แต่มีศิษย์รูปหนึ่งของท่านชื่อสุภัททวุฑฒบรรพชิต  กล่าวจ้วงจาบในลักษณะลบหลู่ดูหมิ่นด้วยคำพูดที่ว่าพระพุทธองค์ปรินิพพานก็ดีแล้ว  เพราะในขณะที่ยังมีพระชนม์อยู่ทรงห้ามภิกษุทำในสิ่งที่อยากทำไม่ได้  ต่อไปจะได้ทำอะไรตามที่ต้องการ  คำพูดเช่นนี้ทำให้พระมหากัสสปะและภิกษุรูปอื่น ๆ หดหู่เป็นอย่างมาก  แต่ในขณะนั้นไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้  จวบจนกระทั่งหลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จสิ้นแล้วล่วงไปแล้ว  ๓  เดือน  ท่านจึงยกเหตุนั้นขึ้นปรารภจัดทำสังคายนาครั้งที่  ๑  ขึ้น  คือการร้อยกรองพระธรรมวินัย  นับได้ว่าท่านเป็นผู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้เกิดพระไตรปิฎก  ในการทำสังคายนาครั้งที่  ๑  นั้น  ท่านเป็นผู้ถามทั้งพระวินัย  พระสูตรและพระอภิธรรม  ท่านพระอุบาลีเป็นผู้ตอบพระวินัย  ท่านพระอานนท์เป็นผู้ตอบพระสูตรและพระอภิธรรม   

พระสารีบุตร
                                   เมื่อสาวกของนิครนถ์นาฏบุตรแตกกัน    ภายหลังที่อาจารย์สิ้นชีวิต  ค่ำวันหนึ่ง  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมจบแล้ว  เห็นว่าภิกษุทั้งหลายใคร่จะฟังต่อไปอีก  จึงมอบหมายให้พระสารีบุตรแสดงแทน  ซึ่งท่านได้แนะนำให้รวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัย  โดยแสดงตัวอย่างของการจัดหมวดหมู่ธรรมเป็นข้อ ๆ ตั้งแต่ข้อ  ๑  ถึงข้อ  ๑๐  ว่ามีธรรมอะไรบ้างอยู่ในหมวด  ๑  หมวด  ๒  หมวด  ๓  จนถึงหมวด  ๑๐  ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงรับรองว่า  ข้อคิดและธรรมที่แสดงนี้ถูกต้อง (สังคีติสูตร  พระสุตตันตปิฎก  เล่มที่  ๑๑  หน้า  ๒๒๒ - ๒๘๗)  หลักฐานในพระไตรปิฎกตอนนี้มิได้แสดงว่าพระสารีบุตรเสนอขึ้นก่อน  หรือพระพุทธเจ้าตรัสแก่พระจุนทะก่อน  แต่รวมความแล้วก็ต้องถือว่า  ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสารีบุตรได้เห็นความสำคัญของการรวบรวมพระพุทธวจนะ  ร้อยกรองให้เป็นหมวดหมู่มาแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้ทำสังคายนาครั้งที่  ๑

พระจุนทะ               
                                  เมื่อกล่าวถึงเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก  และกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงแนะให้ทำสังคายนาแล้ว  ถ้าไม่กล่าวถึงพระจุนทะก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นความริเริ่ม  เอาใจใส่  และความปรารถนาดีของท่าน  ในเมื่อรู้เห็นเหตุการณ์ที่สาวกของนิครนถ์นาฏบุตรแตกกัน  เพราะจากข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก  ท่านได้เข้าพบพระอานนท์ถึง  ๒  ครั้ง  ครั้งแรกพระอานนท์ชวนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน  เมื่อกราบทูลแล้วพระองค์ได้ตรัสตอบด้วยข้อความเป็นอันมาก  แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่สำคัญยิ่ง (ปาสาทิกสูตร  พระสุตตันตปิฎก  เล่มที่  ๑๑  หน้า  ๑๓๙)  พระผู้มีพระภาคตรัสบอกพระจุนทะ  แนะให้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์  และทำสังคายนา  คือจัดระเบียบทั้งโดยอรรถและพยัญชนะเพื่อให้พรหมจรรย์ตั้งมั่นยั่งยืนสืบไป
          หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะให้ทำสังคายนาดังกล่าวแล้วข้างต้น  อีกทั้งสาวกนิครนถ์นาฏบุตรแตกแยกกันมากขึ้น  ท่านก็เข้าพบพระอานนท์อีก  ขอให้กราบทูลพระพุทธเจ้าทรงทราบ  เพื่อหาทางป้องกันมิให้เหตุการณ์ทำนองนั้นเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมแก่พระอานนท์  โดยแสดงโพธิปักขิยธรรมอันเป็นหลักของพระพุทธศาสนา  แล้วทรงแสดงมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท  ๖  ประการ  อธิกรณ์  ๔  ประการ  วิธีระงับอธิกรณ์  ๗  ประการ  สุดท้าย  ได้ทรงแสดงหลักธรรมสำหรับอยู่ร่วมกันด้วยความสุก  ๖  ประการ  ที่เรียกว่าสาราณิยธรรม  อันเป็นไปในทางสงเคราะห์  อนุเคราะห์และมีเมตตาต่อกัน  มีความประพฤติและความเห็นในทางที่ดีงามร่วมกัน  เรื่องนี้ปรากฏในสามคามสูตร  พระสุตตันตปิฎก  เล่มที่  ๑๔  หน้า  ๔๙  พระพุทธภาษิตที่แนะนำให้รวบรวมพุทธวจนะร้อยกรองจัดระเบียบหมวดหมู่นี้ ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นแห่งการแนะนำ  เพื่อให้เกิดพระไตรปิฎกในภายหลังนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น