การสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดพระไตรปิฎก
ได้กล่าวถึงพระเถระที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกมาแล้วหลายรูป แต่พระไตรปิฎกก็เกิดขึ้นภายหลังที่พระเถระทั้งหลาย ได้ร่วมกันร้อยกรองจัดระเบียบพระพุทธวจนะแล้ว ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์อยู่ ยังไม่มีการจัดระเบียบหมวดหมู่ ยังไม่มีการจัดเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก นอกจากมีตัวอย่างการจัดระเบียบวินัยในการสวดปาติโมกข์ลทุกกึ่งเดือน ตามพระพุทธบัญญัติและการจัดระเบียบธรรมในสังคีติสูตรและทสุตตรสูตร
ที่พระสารีบุตรเสนอไว้ กับตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงวิธีจัดระเบียบพระธรรมแก่พระจุนทและพระอานนท์ในปาสาทิกสูตร และสามคามสูตร ดังกล่าวมาแล้วในเบื้องต้น
ในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “ ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ”
จึงกำหนดเป็นหลักฐานชี้ชัดได้ว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่า พระไตรปิฎก มีแต่คำว่า ธรรมวินัย คำว่า ไตรปิฎก หรือ ติปิฏก ในภาษาบาลีนั้น เกิดขึ้นภายหลังที่ทำสังคายนาแล้ว แต่จะเป็นภายหลังสังคายนาครั้งใดนั้นจะได้กล่าวต่อไป
ถึงอย่างไรก็ตาม แม้คำว่า พระไตรปิฎก จะเกิดในสมัยหลังพุทธปรินิพพาน ก็ไม่ทำให้สิ่งที่บรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น คลายความสำคัญลงเลย เพราะคำว่า ไตรปิฎก เป็นเพียงภาชนะ คือกระจาดหรือตะกร้าสำหรับใส่ผลไม้สิ่งของเท่านั้น ส่วนตัวผลไม้ที่บรรจุอยู่ในภาชนะกล่าวคือพุทธวจนะ ได้มีมาแล้วในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็มิได้เก่าคร่ำคร่าหรือหมดยุคสมัยแต่อย่างใดเลย- การนับครั้งในการทำสังคายนา
การนับครั้งในการทำสังคายนามีปัญหาที่ยังไม่ลงตัว จึงทำให้การนับจำนวนครั้งไม่ตรงกันเนื่องจากมีบางประเทศไม่ให้การยอมรับการทำสังคายนาบางครั้ง เช่น ประเทศพม่า ยอมรับว่าตั้งแต่เริ่มแรกมีการทังคายนามารวม ๖ ครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ ๖ พม่าจัดทำเป็นการใหญ่ ในโอกาสใกล้เคียงกับงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ แล้วฉลองพร้อมกันทีเดียว ทั้งการทำสังคายนาครั้งที่ ๖ และงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ แต่ตามหลักฐานของพระเถระฝ่ายไทยผู้รจนาหนังสือเรื่องสังคีติยวงศ์ หรือประวัติศาสตร์การสังคายนา กล่าวว่า สังคายนามี ๙ ครั้ง รวมทั้งครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงกระทำในรัชสมัยของพระองค์ คือการสอบทานแก้ไขพระไตรปิฎก แล้วจารลงในใบลานเป็นหลักฐาน
โดยเหตุที่ความรู้เรื่องการสังคายนาเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเป็นที่มาแห่งพระไตรปิฎก ดังนั้น จะได้รบรวมมติของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำสังคายนา และปัญหาเรื่องการนับครั้งมารวมเป็นหลักฐานไว้ในที่นี้ รวมเป็น ๕ หัวข้อ คือ
๑. การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไป
๒. การนับครั้งสังคายนาของลังกา
๓. การนับครั้งสังคายนาของพม่า
๔. การนับครั้งสังคายนาของไทย
๕. การนับครั้งสังคายนาของฝ่ายมหายาน
ในการจัดทำเอกสารประกอบการสอนเนื้อหาการนับครั้งสังคายนานี้ ผู้เขียนได้ศึกษาจากเอกสารชื่อพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ซึ่งท่านได้อ้างอิงหลักฐานจากวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ พร้อมทั้งอรรถกถาจากหนังสือมหาวงศ์ สังคีติยวงศ์ และบทความของท่าน B. Jinananda ในหนังสือ 2500 Years of Buddhism ซึ่งพิมพ์ในโอกาสฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในอินเดียและหนังสืออื่น ๆ
การสวดปาติโมกข์ต่างจากการสังคายนา
การสวดปาติโมกข์ คือการว่าปากเปล่า หรือการสวดข้อบัญญัติทางพระวินัย ๑๕๐ ข้อ ในเบื้องแรก และ ๒๒๗ ข้อในกาลต่อมาทุก ๆ กึ่งเดือนหรือ ๑๕ วัน เป็นข้อบัญญัติทางพระวินัย ที่ให้พระภิกษุทั้งหลายต้องลงฟังการกล่าวทบทวนข้อบัญญัติทางพระวินัยนี้ทุก ๑๕ วัน ถ้าขาดโดยไม่มีเหตุสมควรต้องปรับอาบัติทุกกฏ การสวดปาติโมกข์นี้ เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของการบังคับให้ท่องจำซึ่งข้อบัญญัติทางพระวินัย แต่ไม่ใช่ให้สวดพร้อมกันเหมือนการสวดมนต์ทั่วไป คงมีผู้สวดรูปเดียวส่วนที่เหลือเป็นแต่เพียงนั่งฟังเท่านั้น และมีรูปหนึ่งคอยตรวจทานเมื่อสวดผิดก็จะบอกให้สวดถูกต้อง อนึ่งในการสวดจะต้องสวดให้ถูกอักขระฐานกรณ์ คือเปล่งเสียงออกมาโดยเน้นว่าอักขระตัวนั้นเกิดที่ใดก็ว่าให้ถูกต้องตามฐานกรณ์ที่เกิด
ส่วนการสังคายนานั้น แปลตามรูปศัพท์ว่า ร้อยกรอง คือประชุมสงฆ์จัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะ แล้วรับทราบทั่วกันในที่ประชุมนั้นว่าตกลงกันอย่างนี้ แล้วก็มีการท่องจำสืบ ๆ กันมา ในชั้นเดิมการสังคายนาปรารภเหตุความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา จึงจัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะไว้ ในครั้งต่อ ๆ มาปรากฏว่ามีการถือผิด ตีความหมายผิด จึงมีการตรวจสอบชำระวินิจฉัยข้อที่ถือผิดและตีความหมายที่ผิดนั้น โดยชี้ขาดว่าอะไรคือความถูกต้องแล้วก็ทำการสังคายนา โดยการทบทวนระเบียบเดิมบ้าง เพิ่มเติมของใหม่ในลักษณะบันทึกเหตุการณ์บ้าง หรือจัดระเบียบใหม่ในบางข้อบ้าง ในชั้นหลังเป็นเพียงการจารึกลงในใบลาน การสอบทานข้อผิดในใบลาน ก็เรียกกันว่าสังคายนา ไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์ถือผิดหรือเข้าใจผิดเกิดขึ้น แต่ความจริงเมื่อพิจารณาตามรูปศัพท์แล้ว การสังคายนาก็เท่ากับการจัดระเบียบ การปัดกวาดให้สะอาด เมื่อทำขึ้นครั้งหนึ่งก็มีประโยชน์ครั้งหนึ่ง เหมือนกับการทำความสะอาดที่อยู่อาศัยนั่นเอง
การสังคายนาจึงแตกต่างจากการสวดปาติโมกข์ในสาระสำคัญที่ว่า การสวดปาติโมกข์เป็นการทบทวนความจำของที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน เกี่ยวกับข้อปฏิบัติทางพระวินัย ส่วนการสังคายนาไม่มีกำหนดว่าต้องทำเมื่อไร โดยปกติเมื่อรู้สึกว่าควรจัดระเบียบชำระข้อถือผิดหรือเข้าใจผิดได้แล้ว ก็ลงมือทำตามโอกาสอันสมควร แม้เมื่อรู้สึกว่าไม่มีการถือผิดหรือเข้าใจผิด แต่เห็นสมควรตรวจสอบชำระพระไตรปิฎก แก้ตัวอักษร หรือข้อความที่วิปลาสคลาดเคลื่อน ก็ถือว่าเป็นการสังคายนาเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น