ประวัติความเป็นมาของนางภิกษุณี
(จากวินัยปิฎก เล่ม ๗ หน้า ๓๒๐ ถึง ๓๒๖)
(จากวินัยปิฎก เล่ม ๗ หน้า ๓๒๐ ถึง ๓๒๖)
(๑)
พระนางมหาปชาบดี โคตมี ทูลขอบรรพชาไม่สำเร็จ
สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในนิโครธาราม
ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พระนางมหาปชาบดี โคตมี๑ เข้าไปเฝ้า ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
แล้วประทับยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลขอบรรพชาเป็นอนาคาริยะ (ไม่ครองเรือน)
ในพระธรรมวินัย ซึ่งพระตถาคตเจ้าประกาศแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสห้ามไว้ว่า
อย่าเลย ท่านเป็นมาตุคาม๒ อย่าพอใจบรรพชาเป็นอนาคาริยะในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
แม้ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม พระนางมหาปชาบดี โคตมี กราบทูลขอบรรพชา
พระผู้มีพระภาคก็ตรัสห้ามอย่างนั้น.
เมื่อพระนางมหาปชาบดี
โคตมี เห็นว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตอนาคาริยบรรพชาในพระธรรมวินัย
ซึ่งพระตถาคตเจ้าประกาศแล้วแก่มาตุคาม ก็ระทมทุกข์เสียพระทัย
มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ
(คือดำเนินเวียนขวา) แล้วเสด็จหลีกไป.
เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ตามพระพุทธอัธยาศัยแล้ว
ก็เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ทางกรุงเวสาลี ทรงแวะ ณ กรุงเวสาลีนั้น ประทับ ณ
กูฏาคารศาลา (ศาลาเรือนยอด) ป่ามหาวัน.
(๒)
ความพยายามอีกครั้งหนึ่งของพระนาง
ลำดับนั้น
พระนางมหาปชาบดี โคตมี ทรงปลงพระเกศา นุ่งห่มกาสาวพัสตร์
เสด็จพร้อมด้วยเจ้าหญิงศากยะเป็นอันมาก เดินทางไปยังกรุงเวสาลีโดยลำดับ
เสด็จเข้าไปยังกูฏคารศาลา ป่ามหาวัน. ครั้งนั้นพระนางมหาปชาบดี โคตมี
มีพระบาทเปล่า (ไม่สวมรองเท้า) มีพระกายอันมัวมอมด้วยฝุ่นละออง ระทมทุกข์
เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืน ณ ภายนอกซุ้มประตู.
(๓)
พระอานนทเถระช่วยเหลือ
พระอนนท์ผู้มีอายุ
ได้เห็นพระนางมหาปชาบดี โคตมี ในลักษณาการดั่งกล่าว ถามทราบความว่า
พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตอนาคาริยบรรพชาในพระธรรมวินัย
อันพระตถาคตเจ้าประกาศแล้วแก่มาตุคาม จึงทูลว่า ถ้าอย่างนั้น
จงทรงคอยอยู่ที่นี่ก่อน
จนกว่าจะทูลขอพระผู้มีพระภาคให้ประทานอนาคาริยบรรพชาแก่มาตุคาม.
ลำดับนั้น
พระอานนท์ผู้มีอายุ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว
จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า "พระเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดี โคตมี
ทรงมีพระบาทเปล่า มีพระกายอันมัวมอมด้วยฝุ่นละออง ทรงระทมทุกข์ เสียพระทัย
มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืน ณ ภายนอกซุ้มประตูนั้น
ด้วยทรงคิดว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตอนาคาริยบรรพชาแก่มาตุคาม โปรดเถิด
พระเจ้าข้า
ขอให้มาตุคามได้อนาคาริยบรรพชาในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วเถิด."
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูก่อนพระอานนท์ อย่าเลย
ท่านอย่าพอใจอนาคาริยบรรพชาของมาตุคามในพระธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้วเลย." แม้ครั้งที่สอง
ครั้งที่สาม พระอานนท์ทูลขอ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสห้ามอย่างนั้น.
ลำดับนั้น
พระอานนท์ผู้มีอายุ จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า "พระเจ้าข้า
มาตุคามบวชเป็นอนาคาริยะในพระธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้าประกาศแล้ว
จะควรหรือไม่ที่จะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล
หรืออรหัตตผล" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ควร พระอานนท์กราบทูลต่อไปว่า ถ้าควร
พระนางมหาปชาบดี โคตมี พระน้านางของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้มีอุปการะมาก
เป็นผู้ปกป้องเลี้ยงดูถวายพระขีระ เมื่อพระพุทธมารดาสวรรคตแล้ว
ก็ได้ให้พระผู้มีพระภาคทรงดื่มพระขีระ โปรดเถิด พระเจ้าข้า
ขอให้มาตุคามได้อนาคาริยบรรพชาในพระธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้าประกาศแล้วเถิด."
(๔)พระพุทธเจ้าประทานอนุญาตภิกษุณีบรรพชาโดยมีเงื่อนไข
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดี โคตมี จะทรงรับครุธรรม ๘ ประการได้
นั้นก็จงเป็นอุปสัมปทา (การบวช) ของพระนางเถิด คือ
๑. นางภิกษุณีแม้บวชแล้ว
๑๐๐ ปี ต้องทำอภิวาท การลุกขึ้นต้อนรับ อัญชลีธรรม
และสามีจิกรรมแก่ภิกษุผู้บวชในวันนั้น นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพ
นับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.
๒.
นางภิกษุณีไม่พึงจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ
เคารพนับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.
๓.
นางภิกษุณีพึงหวังธรรม ๒ อย่างจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน คือการถามวันอุโบสถ กับ
การเข้าไปหา เพื่อรับโอวาท นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.
๔.
นางภิกษุณีจำพรรษาแล้ว พึงปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย (ภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์)
ด้วยฐานะ ๓ คือ ด้วยได้เห็น หรือ ด้วยได้ฟัง หรือ ด้วยนึกรังเกียจ
นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.
๕.
นางภิกษุณีทีต้องครุธรรม (ต้องอาบัติสังฆาทิเสส) พึงประพฤติมานัตต์ตลอดปักษ์ในสงฆ์
๒ ฝ่าย นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.
๖. นางสิกขมานา
(สตรีผู้ก่อนเป็นนางภิกษุณี ต้องเป็นนางสิขมานา แปลว่า ผู้ศึกษา)
ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปีแล้ว จึงควรแสวงหาอุปสมบทในสงฆ์ ๒
ฝ่าย(คือก่อนจะบวชเป็นนางภิกษุณี จะต้องเป็นนางสิกขมานา ๒ ปี ระหว่าง ๒ ปี
รักษาศีล ๖ ข้อ ขาดไม่ได้ ศีล ๖ ข้อ คือ ศีล ๕ กับเพิ่มข้อที่ ๖
อันได้แก่การเว้นบริโภคอาหารในเวลาวิกาล) นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ
เคารพนับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.
๗. นางภิกษุณี ไม่พึงด่า
ไม่พึงบริภาษภิกษุด้วยปริยายใด ๆ นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะเคารพ บูชา
ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.
๘. จำเดิมแต่วันนี้ไป
ห้ามนางภิกษุณีว่ากล่าวสั่งสอนภิกษุ ไม่ห้ามภิกษุกล่าวสั่งสอนนางภิกษุณี
นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ นับถือ เคารพ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต.
ดูก่อนอานนท์
ถ้าพระนางมหาปชาบดี โคตมี รับครุธรรม ๘ ประการเหล่านี้ได้ นั้นก็จงเป็นอุปสัมปทา
(การบวช) ของพระนางเถิด."
(๕)
พระอานนท์จำครุธรรมไปบอก
ลำดับนั้น
พระอานนท์ผู้มีอายุ เรียนครุธรรม ๘ ประการในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ก็เข้าไปเฝ้าพระนางมหาปชาบดี โคตมี แล้วกล่าวว่า "พระนางโคตมี
ถ้าพระนางจะพึงรับครุธรรม ๘ ประการได้ นั้นก็จักเป็นอุปสัมปทา(การบวช) ของพระนาง
คือ (มีข้อความเหมือนข้างต้น)."
(๖)
พระนางมหาปชาบดี โคตมี ทรงรับ
พระนางมหาปชาบดี โคตมี
ทูลตอบว่า "ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ หญิง หรือชายรุ่นหนุ่มสาว รักการประดับ
สนานศีรษะแล้ว ได้พวงมาลัยดอกอุบลก็ดี พวงมาลัยดอกมะลิก็ดี พวงมาลัยดอกลำดวนก็ดี
พึงประดิษฐานไว้บนกระหม่อม บนศีรษะฉันใด ข้าพเจ้าก็ฉันนั้น จะรับครุธรรม ๘
ประการเหล่านี้ไว้ ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต."
วินัยปิฎก ๗/๓๒๐-๓๒๖
๑. พระนางมหาปชาบดี โคตมี เป็นพระน้านาง
และเป็นพระมารดาเลี้ยงของพระพุทธเจ้า คือเมื่อพระนางมหามายา
พระพุทธมารดาสวรรคตแล้ว พระนางมหาปชาบดีก็ทรงเลี้ยงแทน
ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ได้ ๗ วันล่วงแล้ว
๒. มาตุคาม คือผู้หญิง
๒. มาตุคาม คือผู้หญิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น