ความเป็นมาแห่งการบัญญัติพระวินัย
พระวินัยนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ล่วงหน้า ต่อเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น
จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามประพฤติเช่นนั้นอีก
ดังจะเห็นได้ว่า ในตอนต้นพุทธกาล คือตั้งแต่พรรษาที่ ๑ ถึงพรรษาที่ ๑๑
พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แน่นอน
เพราะพระภิกษุสงฆ์ล้วนมีวัตรปฏิบัติที่ดีงาม
ศีลของพระภิกษุสงฆ์เรียกว่า “
ปาติโมกขสังวรศีล ” จัดเป็นจาริตตศีล คือ
ระเบียบปฏิบัติตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติปฏิบัติมา ในระยะที่ยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุสงฆ์สวดพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือนใน ๒๐ พรรษาแรกนั้น
พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์เองทุกกึ่งเดือน
ในพรรษาที่ ๑๒
ขณะประทับอยู่ ณ
เมืองเวรัญชา
พระสารีบุตรกราบทูลอาราธนาให้ทรงบัญญัติสิกขาบท
ดังปรากฏในเวรัญชกัณฑ์ คัมภีร์มหาวิภังค์ พระวินัยปิฎกเล่ม ๑ ว่า “ ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
ที่พระผู้มีพระภาคจะทรงบัญญัติสิกขาบท
ทรงยกปาติโมกข์แสดงแก่พระสาวกอันจะเป็นเหตุให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้ยืนนาน ” พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงบัญญัติสิกขาบท
เพราะในระยะนั้นภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่เป็นพระอริยบุคคล
ดังที่พระองค์ตรัสตอบพระสารีบุตรว่า “ จงรอไปก่อนเถิด
สารีบุตร
ตถาคตรู้เวลาในเรื่องที่จะบัญญัติสิกขาบทนั้น
ศาสดาจะยังไม่บัญญัติสิกขาบทแก่สาวก
ไม่ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงตลอดเวลาที่ยังไม่เกิดอาสวัฏฐานิยธรรมในหมู่สงฆ์ เมื่อเกิดอาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างขึ้นในหมู่สงฆ์ ตถาคตจึงจะบัญญัติสิกขาบท
จะยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่สาวกเพื่อขจัดธรรมนั้น...
สารีบุตร ก็ภิกษุสงฆ์ยังไม่มีเสนียด ไม่มีโทษ ไม่มีสิ่งมัวหมอง บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดำรงอยู่ในสารคุณ แท้จริง ในภิกษุ
๕๐๐ รูปนี้
ผู้มีคุณธรรมอย่างต่ำก็ชั้นโสดาบัน ”
ต่อมา หลังจากออกพรรษาที่ ๒๐ แล้ว
พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ห้ามภิกษุเสพเมถุน
โดยปรารภเหตุการณ์มัวหมองในคณะสงฆ์อันเนื่องมาจากการที่พระสุทินเสพเมถุนกับอดีตภรรยาที่ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี
การที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก และทรงบัญญัติเรื่อยมาทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ไม่ดีงามขึ้นในคณะสงฆ์
ในการบัญญัติสิกขาบทแต่ละครั้งมีขั้นตอนดังนี้คือ
๑. เมื่อเกิดเรื่องมัวหมองขึ้นภายในคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้เรียกประชุมสงฆ์
๒. ตรัสถามภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทูลรับ
๓. ทรงชี้โทษแห่งการประพฤติเช่นนั้น
๔. ตรัสอานิสงส์แห่งการไม่กระทำเช่นนั้นและการสำรวมระวัง
๕. ทรงตั้งพระบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุทำอย่างนั้นอีกต่อไป
๖. ทรงกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือล่วงละเมิดเรียกว่า ปรับอาบัติ
คำว่า อาบัติ แปลว่า การต้อง การล่วงละเมิด
คำนี้เป็นชื่อเรียกกิริยาที่ล่วงละเมิดสิกขาบท
นั้น ๆ
และเป็นชื่อเรียกโทษหรือความผิดที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบท เช่น
ภิกษุกล่าวอวดอุตตริ
มนุสสธรรมที่ไม่มีในตนต้องปาราชิก
อาบัติมี ๗ กองคือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต
อาบัติปาราชิกมีโทษหนัก ทำให้ผู้ล่วงละเมิดขาดจากความเป็นภิกษุ อาบัติสังฆาทิเสสมีโทษปานกลาง
ผู้ล่วงละเมิดต้องอยู่กรรมคือประพฤติวัตรอย่างหนึ่งจึงจะพ้นจากอาบัตินี้ ส่วนอาบัติ ๕
กองที่เหลือมีโทษเบา
ผู้ล่วงละเมิดต้องประกาศสารภาพผิดต่อหน้าภิกษุด้วยกันดังที่เรียกว่า ปลงอาบัติ จึงจะพ้นจากอาบัติเหล่านี้
บทบัญญัติในพระวินัยแต่ละข้อหรือมาตราเรียกว่า สิกขาบท แปลว่า ข้อที่ต้องศึกษา นั่นคือ บทบัญญัติสำหรับภิกษุ มี ๒๒๗ สิกขาบท บทบัญญัติสำหรับภิกษุณี มี ๓๑๑ สิกขาบท
สิกขาบทเหล่านี้มาในพระปาฏิโมกข์
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สวดในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
บทบัญญัติสำหรับภิกษุ ๒๒๗
สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์ แบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้
ปาราชิก ๔, สังฆาทิเสส ๑๓, อนิยต ๒, นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐, ปาจิตตีย์ ๙๒,
ปาฏิเทสนียะ ๔, เสขิยะ ๗๕ และ
อธิกรณสมถะ ๗
สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์นั้น
ปรับอาบัติแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดไว้ครบทุกอาบัติ
คือระบุอาบัติโดยตรง ๔ กอง ได้แก่ ปาราชิก,
สังฆาทิเสส,
ปาจิตตีย์ทั้งที่เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์และสุทธิก-ปาจิตตีย์ และปาฏิเทสนียะ
มีอาบัติที่ไม่ระบุไว้โดยตรงอีก ๓ กอง ได้แก่
ถุลลัจจัย ทุกกฎ ทุพภาสิต
สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์เหล่านี้ยกเว้นเสขิยะ จัดเป็น
อาทิพรหมจริยกาสิกขา
ส่วนเสขิยะและสิกขาบทจำนวนมากที่มานอกพระปาติโมกข์ล้วนเป็น อภิสมาจาริกาสิกขา ทั้งสิ้น
สรุป พระพุทธบัญญัติ
(อาทิพรหมจริยกาสิกขา) และ อภิสมาจาร (อภิสมาจาริกาสิกขา)
จึงรวมเรียกว่า พระวินัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น