วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระวินัยปิฎก

ความเป็นมาแห่งการบัญญัติพระวินัย
พระวินัยนั้น  พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ล่วงหน้า  ต่อเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น  จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามประพฤติเช่นนั้นอีก  ดังจะเห็นได้ว่า  ในตอนต้นพุทธกาล  คือตั้งแต่พรรษาที่   ถึงพรรษาที่  ๑๑  พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แน่นอน  เพราะพระภิกษุสงฆ์ล้วนมีวัตรปฏิบัติที่ดีงาม  ศีลของพระภิกษุสงฆ์เรียกว่า  ปาติโมกขสังวรศีล ”  จัดเป็นจาริตตศีล  คือ  ระเบียบปฏิบัติตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติปฏิบัติมา  ในระยะที่ยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุสงฆ์สวดพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือนใน  ๒๐  พรรษาแรกนั้น  พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์เองทุกกึ่งเดือน
                        ในพรรษาที่  ๑๒  ขณะประทับอยู่   เมืองเวรัญชา  พระสารีบุตรกราบทูลอาราธนาให้ทรงบัญญัติสิกขาบท  ดังปรากฏในเวรัญชกัณฑ์  คัมภีร์มหาวิภังค์  พระวินัยปิฎกเล่ม   ว่า  ถึงเวลาแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ที่พระผู้มีพระภาคจะทรงบัญญัติสิกขาบท  ทรงยกปาติโมกข์แสดงแก่พระสาวกอันจะเป็นเหตุให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้ยืนนาน   พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงบัญญัติสิกขาบท  เพราะในระยะนั้นภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่เป็นพระอริยบุคคล  ดังที่พระองค์ตรัสตอบพระสารีบุตรว่า  จงรอไปก่อนเถิด
สารีบุตร  ตถาคตรู้เวลาในเรื่องที่จะบัญญัติสิกขาบทนั้น  ศาสดาจะยังไม่บัญญัติสิกขาบทแก่สาวก  ไม่ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงตลอดเวลาที่ยังไม่เกิดอาสวัฏฐานิยธรรมในหมู่สงฆ์  เมื่อเกิดอาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างขึ้นในหมู่สงฆ์  ตถาคตจึงจะบัญญัติสิกขาบท  จะยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่สาวกเพื่อขจัดธรรมนั้น...  สารีบุตร  ก็ภิกษุสงฆ์ยังไม่มีเสนียด  ไม่มีโทษ  ไม่มีสิ่งมัวหมอง  บริสุทธิ์ผุดผ่อง  ดำรงอยู่ในสารคุณ  แท้จริง  ในภิกษุ  ๕๐๐  รูปนี้  ผู้มีคุณธรรมอย่างต่ำก็ชั้นโสดาบัน
                        ต่อมา  หลังจากออกพรรษาที่  ๒๐  แล้ว  พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่   ห้ามภิกษุเสพเมถุน  โดยปรารภเหตุการณ์มัวหมองในคณะสงฆ์อันเนื่องมาจากการที่พระสุทินเสพเมถุนกับอดีตภรรยาที่ป่ามหาวัน  กรุงเวสาลี  การที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก  และทรงบัญญัติเรื่อยมาทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ไม่ดีงามขึ้นในคณะสงฆ์
ในการบัญญัติสิกขาบทแต่ละครั้งมีขั้นตอนดังนี้คือ
๑.       เมื่อเกิดเรื่องมัวหมองขึ้นภายในคณะสงฆ์  พระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้เรียกประชุมสงฆ์
๒.     ตรัสถามภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทูลรับ
๓.     ทรงชี้โทษแห่งการประพฤติเช่นนั้น
๔.     ตรัสอานิสงส์แห่งการไม่กระทำเช่นนั้นและการสำรวมระวัง
๕.     ทรงตั้งพระบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุทำอย่างนั้นอีกต่อไป
๖.      ทรงกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือล่วงละเมิดเรียกว่า  ปรับอาบัติ
คำว่า  อาบัติ  แปลว่า  การต้อง  การล่วงละเมิด  คำนี้เป็นชื่อเรียกกิริยาที่ล่วงละเมิดสิกขาบท
นั้น ๆ และเป็นชื่อเรียกโทษหรือความผิดที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบท เช่น ภิกษุกล่าวอวดอุตตริ
มนุสสธรรมที่ไม่มีในตนต้องปาราชิก
                        อาบัติมี ๗  กองคือ ปาราชิก  สังฆาทิเสส  ถุลลัจจัย  ปาจิตตีย์  ปาฏิเทสนียะ  ทุกกฏ  ทุพภาสิต
                        อาบัติปาราชิกมีโทษหนัก  ทำให้ผู้ล่วงละเมิดขาดจากความเป็นภิกษุ  อาบัติสังฆาทิเสสมีโทษปานกลาง  ผู้ล่วงละเมิดต้องอยู่กรรมคือประพฤติวัตรอย่างหนึ่งจึงจะพ้นจากอาบัตินี้  ส่วนอาบัติ   กองที่เหลือมีโทษเบา ผู้ล่วงละเมิดต้องประกาศสารภาพผิดต่อหน้าภิกษุด้วยกันดังที่เรียกว่า ปลงอาบัติ  จึงจะพ้นจากอาบัติเหล่านี้
                        บทบัญญัติในพระวินัยแต่ละข้อหรือมาตราเรียกว่า  สิกขาบท  แปลว่า  ข้อที่ต้องศึกษา  นั่นคือ  บทบัญญัติสำหรับภิกษุ  มี  ๒๒๗  สิกขาบท  บทบัญญัติสำหรับภิกษุณี  มี  ๓๑๑  สิกขาบท  สิกขาบทเหล่านี้มาในพระปาฏิโมกข์  พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สวดในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
                        บทบัญญัติสำหรับภิกษุ  ๒๒๗  สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์ แบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้  ปาราชิก  สังฆาทิเสส  ๑๓ อนิยต  นิสสัคคิยปาจิตตีย์  ๓๐ ปาจิตตีย์  ๙๒ ปาฏิเทสนียะ  เสขิยะ  ๗๕  และ  อธิกรณสมถะ 
                        สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์นั้น  ปรับอาบัติแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดไว้ครบทุกอาบัติ  คือระบุอาบัติโดยตรง   กอง  ได้แก่  ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ทั้งที่เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์และสุทธิก-ปาจิตตีย์  และปาฏิเทสนียะ  มีอาบัติที่ไม่ระบุไว้โดยตรงอีก ๓ กอง ได้แก่  ถุลลัจจัย  ทุกกฎ  ทุพภาสิต
                        สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์เหล่านี้ยกเว้นเสขิยะ  จัดเป็น  อาทิพรหมจริยกาสิกขา  ส่วนเสขิยะและสิกขาบทจำนวนมากที่มานอกพระปาติโมกข์ล้วนเป็น  อภิสมาจาริกาสิกขา  ทั้งสิ้น
                สรุป  พระพุทธบัญญัติ (อาทิพรหมจริยกาสิกขา)  และ  อภิสมาจาร (อภิสมาจาริกาสิกขา) 

จึงรวมเรียกว่า  พระวินัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น