ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมของไทย เรายอมรับการสังคายนาครั้งที่ ๑-๒-๓ ในอินเดีย และครั้งที่ ๑-๒ ในลังกา รวมทั้งสิ้น ๕ ครั้ง ถือว่าเป็นประวัติที่ควรรู้เกี่ยวกับความเป็นมาแห่งพระธรรมวินัย แต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถือว่าสังคายนาในลังกาทั้งสองครั้ง เป็นเพียงสังคายนาเฉพาะประเทศ ไม่ควรจัดเป็นสังคายนาทั่วไป จึงทรงบันทึก
พระมติไว้ในท้ายหนังสือพุทธประวัติ เล่ม ๓
แต่ตามหนังสือสังคีติยวงศ์หรือประวัติแห่งการสังคายนา ซึ่งสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน รจนาเป็นภาษาบาลีในรัชกาลที่ ๑ ตั้งแต่ครั้งเป็นพระพิมลธรรม ได้ลำดับความเป็นมาแห่งสังคายนาไว้ ๙ ครั้ง ดังต่อไปนี้
สังคายนาครั้งที่ ๑-๒-๓ ทำในอินเดีย ดังมีรายละเอียดได้กล่าวมาแล้วในการนับครั้งสังคายนาในอินเดีย
สังคายนาครั้งที่ ๔-๕ ทำในลังกา ดังมีรายละเอียดได้กล่าวมาแล้วในการนับครั้งสังคายนาในลังกา
สังคายนาครั้งที่ ๖ ทำในลังกาเมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ พระพุทธโฆสะ ได้แปลและเรียบเรียงอรรถกถาคือคำอธิบายพระไตรปิฎก จากภาษาลังกาเป็นภาษาบาลี ในรัชสมัยของพระเจ้ามหานามะ เนื่องจากการแปลอรรถกถาเป็นภาษาบาลีครั้งนี้ มิใช่การสังคายนาพระไตรปิฎก ทางลังกาเองจึงไม่ถือว่าเป็นการสังคายนาตามแบบแผนที่นิยมกันว่า จะต้องมีการชำระพระไตรปิฎก
สังคายนาครั้งที่ ๗ ทำในลังกา เมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ พระกัสสปเถระเป็นประธาน มีพระเถระร่วมด้วยกว่า ๑,๐๐๐ รูป ได้รจนาคำอธิบายอรรถกถาพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี กล่าวคือแต่งตำราอธิบายคัมภีร์อรรถกถา ซึ่งพระพุทธโฆสะได้ทำเป็นภาษาบาลีไว้ในการสังคายนาครั้งที่ ๖ คำอธิบายอรรถกถานี้กล่าวตามสำนวนนักศึกษาก็คือคัมภีร์ฎีกา ตัวพระไตรปิฎกเรียกว่าบาลี คำอธิบายพระไตรปิฎกเรียกว่า อรรถกถา คำอธิบายอรรถกถาเรียกว่าฎีกา การทำสังคายนาครั้งนี้เนื่องจากมิใช่สังคายนาพระไตรปิฎก แม้ทางลังกาเองก็ไม่รับรองว่าเป็นสังคายนา
อย่างไรก็ตาม ข้อความที่กล่าวไว้ในหนังสือสังคีติยวงศ์ ก็นับว่าได้ประโยชน์ในการรู้ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา เป็นอย่างดียิ่ง
สังคายนาครั้งที่ ๘ ทำในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงไตรปิฎกหลายร้อยรูป ให้ช่วยชำระอักษรพระไตรปิฎก ณ
วัดโพธาราม เป็นเวลา ๑ ปีจึงแล้วเสร็จ ซึ่งถือว่าเป็นการสังคายนาครั้งที่ ๑ ในประเทศไทย
สังคายนาครั้งที่ ๙ ทำในประเทศไทย พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระพระไตรปิฎก ในครั้งนี้มีพระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตาจารย์อุบาสก ๓๒ คน ช่วยกันชำระพระไตรปิฎก แล้วจัดให้มีการจารึกลงในใบลาน สังคายนาครั้งนี้สำเร็จภายใน ๕ เดือน จัดว่าเป็นสังคายนาครั้งที่ ๒ ในประเทศไทย
ประวัติการสังคายนา ๙ ครั้ง ตามที่ปรากฏในหนังสือสังคีติยวงศ์ ซึ่งสมเด็จพระวันรัตรจนาไว้นี้ ภิกษุชินานันทะ ศาสตราจารย์ภาษาบาลีและพุทธศาสตร์ แห่งสถาบันภาษาบาลีที่นาลันทา ได้นำไปเล่าไว้เป็นภาษาอังกฤษในหนังสือ ๒๕๐๐ ปี แห่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย ซึ่งพิมพ์ขึ้นในโอกาสฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ในอินเดียด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น