วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การนับครั้งสังคายนาของไทย

                ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมของไทย เรายอมรับการสังคายนาครั้งที่ ๑-๒-๓ ในอินเดีย  และครั้งที่  ๑-๒  ในลังกา  รวมทั้งสิ้น  ๕  ครั้ง  ถือว่าเป็นประวัติที่ควรรู้เกี่ยวกับความเป็นมาแห่งพระธรรมวินัย  แต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ทรงถือว่าสังคายนาในลังกาทั้งสองครั้ง  เป็นเพียงสังคายนาเฉพาะประเทศ  ไม่ควรจัดเป็นสังคายนาทั่วไป  จึงทรงบันทึก
พระมติไว้ในท้ายหนังสือพุทธประวัติ  เล่ม  ๓ 
                แต่ตามหนังสือสังคีติยวงศ์หรือประวัติแห่งการสังคายนา ซึ่งสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน  รจนาเป็นภาษาบาลีในรัชกาลที่  ๑  ตั้งแต่ครั้งเป็นพระพิมลธรรม  ได้ลำดับความเป็นมาแห่งสังคายนาไว้  ๙  ครั้ง  ดังต่อไปนี้
               สังคายนาครั้งที่  ๑-๒-๓  ทำในอินเดีย  ดังมีรายละเอียดได้กล่าวมาแล้วในการนับครั้งสังคายนาในอินเดีย
                สังคายนาครั้งที่  ๔-๕  ทำในลังกา  ดังมีรายละเอียดได้กล่าวมาแล้วในการนับครั้งสังคายนาในลังกา
                สังคายนาครั้งที่  ๖ ทำในลังกาเมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ พระพุทธโฆสะ ได้แปลและเรียบเรียงอรรถกถาคือคำอธิบายพระไตรปิฎก  จากภาษาลังกาเป็นภาษาบาลี  ในรัชสมัยของพระเจ้ามหานามะ  เนื่องจากการแปลอรรถกถาเป็นภาษาบาลีครั้งนี้  มิใช่การสังคายนาพระไตรปิฎก  ทางลังกาเองจึงไม่ถือว่าเป็นการสังคายนาตามแบบแผนที่นิยมกันว่า  จะต้องมีการชำระพระไตรปิฎก
                สังคายนาครั้งที่  ๗  ทำในลังกา  เมื่อ  พ.ศ.  ๑๕๘๗     พระกัสสปเถระเป็นประธาน  มีพระเถระร่วมด้วยกว่า  ๑,๐๐๐  รูป  ได้รจนาคำอธิบายอรรถกถาพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี  กล่าวคือแต่งตำราอธิบายคัมภีร์อรรถกถา  ซึ่งพระพุทธโฆสะได้ทำเป็นภาษาบาลีไว้ในการสังคายนาครั้งที่  ๖  คำอธิบายอรรถกถานี้กล่าวตามสำนวนนักศึกษาก็คือคัมภีร์ฎีกา  ตัวพระไตรปิฎกเรียกว่าบาลี  คำอธิบายพระไตรปิฎกเรียกว่า  อรรถกถา  คำอธิบายอรรถกถาเรียกว่าฎีกา  การทำสังคายนาครั้งนี้เนื่องจากมิใช่สังคายนาพระไตรปิฎก  แม้ทางลังกาเองก็ไม่รับรองว่าเป็นสังคายนา
                อย่างไรก็ตาม  ข้อความที่กล่าวไว้ในหนังสือสังคีติยวงศ์  ก็นับว่าได้ประโยชน์ในการรู้ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก  อรรถกถา  และฎีกา  เป็นอย่างดียิ่ง
                สังคายนาครั้งที่  ๘  ทำในประเทศไทย  ประมาณ  พ.ศ.  ๒๐๒๐  พระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่  ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงไตรปิฎกหลายร้อยรูป  ให้ช่วยชำระอักษรพระไตรปิฎก  ณ 
วัดโพธาราม  เป็นเวลา  ๑  ปีจึงแล้วเสร็จ  ซึ่งถือว่าเป็นการสังคายนาครั้งที่  ๑  ในประเทศไทย
                สังคายนาครั้งที่  ๙ ทำในประเทศไทย พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์  กรุงรัตนโกสินทร์  ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระพระไตรปิฎก  ในครั้งนี้มีพระสงฆ์  ๒๑๘  รูป  กับราชบัณฑิตาจารย์อุบาสก  ๓๒  คน  ช่วยกันชำระพระไตรปิฎก  แล้วจัดให้มีการจารึกลงในใบลาน  สังคายนาครั้งนี้สำเร็จภายใน  ๕  เดือน  จัดว่าเป็นสังคายนาครั้งที่  ๒  ในประเทศไทย

                ประวัติการสังคายนา  ๙  ครั้ง  ตามที่ปรากฏในหนังสือสังคีติยวงศ์  ซึ่งสมเด็จพระวันรัตรจนาไว้นี้  ภิกษุชินานันทะ  ศาสตราจารย์ภาษาบาลีและพุทธศาสตร์  แห่งสถาบันภาษาบาลีที่นาลันทา  ได้นำไปเล่าไว้เป็นภาษาอังกฤษในหนังสือ  ๒๕๐๐  ปี  แห่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย  ซึ่งพิมพ์ขึ้นในโอกาสฉลอง  ๒๕  พุทธศตวรรษ  ในอินเดียด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น