การที่กล่าวถึงสังคายนาของฝ่ายมหายาน ซึ่งเป็นคนละสายกับฝ่ายเถรวาทไว้ในที่นี้ด้วย ก็เพื่อเป็นแนวทางการศึกษาและประดับความรู้ เพราะพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาท โดยเฉพาะสุตตันตปิฎก ได้มีคำแปลในภาษาจีนซึ่งแสดงว่า ฝ่ายมหายานได้มีเอกสารของฝ่ายเถรวาทอยู่ด้วย จึงควรจะได้ตรวจสอบดูว่า ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกนั้น ทางฝ่ายมหายานได้กล่าวถึงไว้อย่างไร
เมื่อกล่าวตามหนังสือพุทธประวัติ และประวัติสังฆมณฑลสมัยแรกกตามฉบับของทิเบต ซึ่งชาวต่างประเทศได้แปลไว้เป็นภาษาอังกฤษ๑ ได้กล่าวถึงการสังคายนา ๒ ครั้ง คือครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ในอินเดีย ดังที่รู้กันอยู่ทั่วไป แต่จะขอกล่าวในที่นี้เฉพาะข้อที่น่าสังเกตดังนี้
สังคายนาครั้งที่ ๑ หลักฐานฝ่ายเถรวาทว่าสังคายนาพระธรรมกับพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม จึงหมายถึงว่า พระอานนท์ได้วิสัชนาทั้งสุตตันตปิฎกและอภิธัมมปิฎก แต่ในฉบับของทิเบตกล่าวว่า พระมหากัสสปะเป็นผู้วิสัชนาอภิธัมมปิฎก ส่วนพระอานนท์วิสัชนาสุตตันตปิฎก และพระอุบาลีวิสัชนาวินัยปิฎก และยังได้กล่าวพิสดารออกไปอีกว่า สังคายนาสุตตันตปิฎกก่อน พอพระอานนท์เล่าเรื่องปฐมเทศนาจบ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ยืนยันว่าถูกต้องแล้ว เป็นพระสูตรที่ท่านได้สดับมาเอง แม้เมื่อกล่าวสูตรที่ ๒ (อนัตตลักขณสูตร) จบ พระอัญญาโกณฑัญญะก็ให้คำรับรองเช่นกัน ในหนังสือที่อ้างถึงนี้ใช้คำว่า มาติกา (มาตฺริกา) แทนคำว่า อภิธัมมปิฎก
สังคายนาครั้งที่ ๒ ฉบับมหายานของทิเบต ได้กล่าวคล้ายคลึงกับหลักฐานของฝ่ายเถรวาทมาก ทั้งได้ลงท้ายว่า ที่ประชุมได้ลงมติตำหนิข้อถือผิด ๑๐ ประการของภิกษุชาววัชชี ซึ่งแสดงว่าหลักฐานของฝ่ายมหายานกลับรับรองเรื่องนี้ ผู้แปลคือ Rockhill อ้างว่า ได้ตรวจสอบฉบับของจีนซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ากล่าวถึงอะไร นอกจากจบลงด้วยการตำหนิข้อถือผิด ๑๐ ประการเท่านั้น
ดร. นลินักษะ แห่งมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ได้พยายามรวบรวมหลักฐานฝ่ายมหายานเกี่ยวกับสังคายนาครั้งที่ ๒ ไว้อย่างละเอียดเป็น ๓ รุ่น คือ รุ่นแรก รุ่นกลางและรุ่นหลัง แม้รายละเอียดปลีกย่อยในหลักฐานนั้น ๆ จะไม่ต่างกันออกไปก็ตาม แต่ก็เป็นอันตกลงว่า ฝ่ายมหายานได้รับรองการสังคายนาครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ร่วมกัน๒
โดยเหตุที่คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มักจะมีลักษณะหลายอย่างที่แตกต่างจากฝ่ายเถรวาท เมื่อเกิดปัญหาว่า คัมภีร์เหล่านั้นมีมาอย่างไร ก็มักจะมีคำตอบว่า มีการสังคายนาของฝ่ายมหายาน คัมภีร์เหล่านั้นเกิดขึ้นจากผู้ที่สังคายนา ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิได้รู้ได้ฟังมาคนลายกับฝ่ายเถรวาท
เมื่อตรวจสอบจากหนังสือของฝ่ายมหายาน แม้จะพบว่าสังคายนาผสมกับฝ่ายมหายานนั้น เกิดในสมัยพระเจ้ากนิษกะ ประมาณ พ.ศ. ๖๔๓ ก็จริง แต่ข้ออ้างต่าง ๆ มักจะพาดพิงไปถึงสังคายนาครั้งที่ ๑ และที่ ๒ คือมีคณะสงฆ์อีกฝ่ายหนึ่ง ทำสังคายนาแข่งขันอีกส่วนหนึ่ง คือ
๑. สังคายนาครั้งแรกที่พระมหากัสสปเถระเป็นประธานนั้น ทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหาข้างเขา
เวภาระ กรุงราชคฤห์ มีคำกล่าวของฝ่ายมหายานว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มิได้รับเลือกเป็นการกสงฆ์ ได้ประชุมกันทำสังคายนาขึ้นอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่าสังคายนานอกถ้ำ และโดยเหตุที่ภิกษุผู้ทำสังคายนานอกถ้ำมีจำนวนมาก จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังคายนามหาสังฆิกะ คือของสงฆ์หมู่ใหญ่ เรื่องนี้ปรากฏในประวัติของหลวงจีนเฮี่ยนจัง ผู้เดินทางไปดูการพระพุทธศาสนาในอินเดีย ที่นายเคงเหลียน สีบุญเรือง แปลเป็นภาษาไทย หน้า ๑๖๙ และกล่าวด้วยว่าในการสังคายนาครั้งนี้แบ่งออกเป็น ๕ ปิฎก คือ พระสูตร, พระวินัย พระอภิธรรม, ปกิณณกะ และธารณี
แต่หลักฐานของการสังคายนานอกถ้ำครั้งที่ ๑ นี้ น่าจะเป็นการกล่าวสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขนานกับการสังคายนาครั้งที่ ๒ หรืออีกนัยหนึ่งเอาเหตุการณ์ในสังคายนาครั้งที่ ๑ ไปเป็นครั้งที่ ๑ คือ
๒. การสังคายนาของมหาสังฆิกะ มีเรื่องเล่าว่าเมื่อภิกษุวัชชีบุตรถือวินัยย่อหย่อน ๑๐ ประการ
และพระยสะ กากัณฑกบุตร ได้ชักชวนคณะสงฆ์ในภาคต่าง ๆ มาร่วมกันทำสังคายนา ชำระมลทินโทษแห่งพระศาสนาวินิจฉัยชี้ว่า ข้อถือผิด ๑๐ ประการนั้น มีห้ามไว้ในพระวินัยอย่างไร แล้วได้ทำสังคายนาในขณะเดียวกัน พวกภิกษุวัชชีบุตรซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ได้เรียกประชุมสงฆ์ถึง ๑๐,๐๐๐ รูป ทำสังคายนาของตนเองที่เมืองกุสุมปุระ(ปาตลีบุตร)ให้ชื่อว่ามหาสังคีติ คือมหาสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดนิกายมหาสังฆิกะ ซึ่งแม้จะยังไม่นับว่าเป็นมหายานโดยตรง แต่ ก็นับได้ว่าเป็นเบื้องต้นแห่งการแตกแยกจากฝ่ายเถรวาทมาเป็นมหายาน ครั้นต่อมาการสังคายนาครั้งนี้ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงของเดิมไปไม่น้อย หลักฐานของฝ่ายมหายานบางเล่ม ได้กล่าวถึงกำเนิดของนิกายมหาสังฆิกะ โดยไม่กล่าวถึงวัตถุ ๑๐ ประการก็มี แต่กล่าวว่าข้อเสนอ ๕ ประการของพระมหาเทวะเกี่ยวกับพระอรหันต์ว่า ยังมิได้ดับกิเลสโดยสมบูรณ์ เป็นต้น เป็นเหตุให้เกิดการสังคายนาครั้งที่ ๒ แล้วพวกมหาสังฆิกะก็แยกออกมาทำสังคายนาของตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น