ได้กล่าวมาแล้วว่า
การชำระและจารึกกับการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย
แบ่งออกเป็น ๔ สมัย แต่จากการศึกษาเอกสารทางวิชาการ
มีเรื่องที่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมคือ
พระมหากษัตริย์ของไทยในสมัยอดีตมีความเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกอย่างไรบ้าง ผู้เรียบเรียงจึงขอสรุปประวัติโดยสังเขปดังนี้
๑. สมัยกรุงสุโขทัย
เชื่อกันว่าพระไตรปิฎกของกรุงสุโขทัยนั้น
ครั้งแรกได้มาจากมอญสมัยทวาราวดี
แต่ในระยะเวลาห่างไกลคงจะขาดตกบกพร่อง ไม่สมบูรณ์ ครั้นถึงสมัยลังกาวงศ์ พระไตรปิฎกคงจะสมบูรณ์ เพราะได้จากลังกามาเพิ่ม ดังนั้น การศึกษาของสงฆ์จึงเป็นแบบลังกา คัมภีร์ต่าง
ๆ คงจะเป็นอักษรสิงหล และปริวรรตเป็นอักษรขอม มีปัญหาว่า
เมื่อพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้ว
เหตุใดจึงไม่ปริวรรตออกมาเป็นอักษรไทย คำตอบคือ เนื่องจากคนไทยสมัยนั้นได้รับอิทธิพลจากขอมไว้ทุกด้าน อักษรขอมมีมากก็จริง
ส่วนอักษรไทยที่ประดิษฐ์ขึ้นยังเป็นของใหม่
และยังมีอักษรไม่ครบถ้วนที่จะเขียนภาษาบาลี
จึงต้องใช้อักษรขอมไปก่อน และก็ใช้เรื่อย ๆ
มาจนเกิดความเข้าใจผิดคิดไปว่า อักษรขอมเป็นอักษรที่ใช้เขียนจารึกพระไตรปิฎก จนกระทั่งมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงโปรดเกล้าให้พิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทย
เพื่อลบล้างความเข้าใจผิดและอิทธิพลของขอม
พระพุทธศาสนาเจริญถึงขีดสุดในสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท(พระยาลิไท) พระองค์
ทรงเป็นนักปราชญ์
และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและภาษามคธจนแตกฉาน ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์เรื่อง เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง
นอกจากนั้นพระองค์ยังออกผนวชในขณะที่ยังครองราชย์อยู่ด้วย
๒. สมัยล้านนา
สมัยล้านนามีกษัตริย์ปกครองหลายพระองค์
แต่ที่มีบทบาทด้านพระพุทธศาสนาเด่นที่สุดคือ
พระเจ้าติโลกราช ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ในช่วง พ.ศ.
๑๙๘๕-๒๐๒๐ ถือได้ว่าเป็น ยุคทองของ
พระพุทธศาสนา คือ ได้จัดให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นครั้งแรกในประเทศไทย รายละเอียดเรื่องนี้ได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้น
จึงไม่ขอนำมากล่าวซ้ำอีก
๓. สมัยกรุงศรีอยุธยา
ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาคือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงจัดการบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง
แต่ยุคที่พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองมาก
คือในสมัยของ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แม้จะไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกโดยตรง แต่มีประเพณีหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนี้คือ ประเพณีการบวชเรียน โดยพระองค์ทรงเน้นให้เจ้านาย
และข้าราชการผู้ใหญ่ออกบวช
เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย
๔. สมัยกรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทรงครองราชย์สมบัติอยู่เพียง ๑๕ ปี (พ.ศ.
๒๓๐๑-๒๓๒๕) เป็นระยะเวลาแห่งการกอบกู้เอกราชบ้านเมือง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงทอดทิ้งงานด้านพระศาสนาเลย
เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า เมื่อ ปี พ.ศ.
๒๓๑๐ วัดและบ้านเมืองถูกเผาทำลายไปเป็นจำนวนมาก คัมภีร์พระไตรปิฎกก็สูญหายไปด้วย จึงทรงโปรดให้รวบรวมพระไตรปิฎกฉบับหลวงขึ้น ในคราวที่เสด็จไปปราบเจ้านครศรีธรรมราชและเจ้าพระฝางที่อุตรดิตถ์ พระองค์ก็ทรงโปรดให้นำพระไตรปิฎกในเมืองนั้นมาสมทบเพื่อสอบทานต้นฉบับด้วย แต่การสร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงยังมิทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน
๕. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระพุทธศาสนาในสมัยนี้
เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ยุคใดที่แล้วมา ทั้งนี้ เพราะมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก ส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในทุก ๆ ด้าน
ซึ่งจะขอกล่าวเฉพาะบางรัชกาลที่เกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกเท่านั้น ดังนี้
รัชกาลที่ ๑ : สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เนื้อหาเรื่องนี้ได้กล่าวมาบ้างแล้วในเบื้องต้น
จึงขอกล่าวเฉพาะเนื้อหาที่ไม่ซ้ำกันดังนี้
หลังจากการชำระพระไตรปิฎกเสร็จแล้ว ก็ทรงโปรดให้คัดจำลองสร้างเป็นฉบับหลวงขึ้น เรียกว่า ฉบับทองใหญ่ เพราะปิดทองทั้งหมดรวม ๓๕๔ คัมภีร์
นำไปเก็บไว้ที่วัดพระศรีรัตน-ศาสดาราม
และยังโปรดให้สร้างอีก ๒
ฉบับ คือ ฉบับรองทรง และ ฉบับทองชุบ
รัชกาลที่ ๒ : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เนื่องจากพระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่
ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑
นั้น สูญหายไปบางคัมภีร์
เพราะวัดต่าง ๆ ขอยืมไปคัดลอก บางคัมภีร์ก็แตกชำรุด จึงโปรดให้สร้างซ่อมจนบริบูรณ์
ทั้งยังโปรดให้สร้างฉบับใหม่ขึ้นอีก เรียกว่า ฉบับรดน้ำแดง
แต่การครั้งนี้มิได้มีการชุมนุมสงฆ์
เพียงแต่ซ่อมและจารฉบับใหม่เท่านั้น
รัชกาลที่ ๓ : พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชกาลนี้มีการสร้างพระไตรปิฎกมากกว่าที่แล้วมา
และสร้างด้วยฝีมือประณีต
ตรวจสอบอักขระและพยัญชนะอย่างถี่ถ้วน ซึ่งมีถึง ๕ ฉบับ คือ ฉบับรดน้ำเอก ฉบับรดน้ำโท ฉบับทองน้อย ฉบับชุบย่อ และฉบับลายกำมะลอ การทำครั้งนี้นับได้ว่าสมบูรณ์มาก ได้อาศัยคัมภีร์จากลังกาและมอญมารวมกันตรวจสอบ
พระองค์ทรงเห็นว่า
พระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลีและเป็นอักษรขอม จึงมีพระราชประสงค์
จะให้แปลเป็นภาษาไทย
จึงโปรดให้วางฎีกาพระสงฆ์ที่จะถวายเทศน์เวรในพระบรมมหาราชวัง ได้เลือกคัมภีร์เทศน์ตามลำดับในพระไตรปิฎก
โดยโปรดให้แต่งแปลเป็นสำนวนไทยไปเทศน์ ดังนั้น เราจึงได้คัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นอักษรไทยกันมาก
รัชกาลที่ ๔ : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงโปรดให้ตรวจสอบพระไตรปิฎกในหอมณเฑียรธรรม
ปรากฏว่าคัมภีร์ได้หายไปจากบัญชีหลายเล่ม
จึงโปรดให้สร้างฉบับที่ขาดหายไปให้ครบ
และโปรดให้สร้างพระไตรปิฎกฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง
เรียกว่า ฉบับล่องชาด
รัชกาลที่ ๗ : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
การพิมพ์พระไตรปิฎกในสมัยนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทรงเป็นประธาน และพระมหาเถระผู้ชำนาญบาลีช่วยในการชำระตรวจทานตามความถนัด เป็นฉบับแรกที่ได้จัดพิมพ์เป็นอักษรไทยครบบริบูรณ์ ชุดละ ๔๕ เล่ม และได้ขนานนามว่า พระไตรปิฎกสยามรัฐ มีตราช้างเป็นเครื่องหมาย แสดงว่าเป็นของชาวไทยทั้งมวล เพราะประชาชนได้ช่วยกันบริจาคทรัพย์ด้วย
พระไตรปิฎกฉบับนี้พิมพ์ได้เรียบร้อยมาก และพิมพ์ในเวลาที่นานาชาติกำลังต้องการ ดังนั้น
เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วได้พระราชทานแจกจ่ายไปตามวิทยาลัย
และหอสมุดนานาชาติทั่วโลกจำนวน ๔๕๐ จบ นับเป็นเกียรติประวัติของประเทศสยามอย่างยิ่ง
เพราะประเทศพระพุทธศาสนาอื่น ๆ ในครั้งนั้น
ยังไม่มีประเทศใดทำได้เลย
รัชกาลที่ ๘ : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
การแปลพระไตรปิฎก
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถระ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ทรงปรารภว่า
พระไตรปิฎกเป็นที่ประมวลคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมรัตนะ
แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้อ่าน เพราะยังเป็นภาษาบาลี จึงเห็นสมควรให้แปลเป็นภาษาไทย รัฐบาลไทยให้ความเห็นชอบ และยินดีถวายความอุปถัมภ์คณะสงฆ์
จึงตั้งกรรมการแปล การแปลแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. แปลโดยอรรถ คือ แปลเอาความเป็นภาษาไทย เรียกว่า พระไตรปิฎกภาษาไทย
๒. แปลเป็นสำนวนเทศนา เพื่อจัดพิมพ์ลงในใบลาน เป็นคัมภีร์เทศน์ เรียกว่า
พระไตรปิฎกเทศนาฉบับหลวง
๓. พระไตรปิฎกภาษาไทยนั้น แบ่งเป็นวินัย ๑๓ เล่ม พระสูตร ๔๒ เล่ม
พระอภิธรรม ๒๕ เล่ม รวมเป็น ๘๐ เล่ม เท่าพระชนมายุของพระพุทธเจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น